บันทึก(ไม่ลับ)จากเปียงยาง

บันทึก(ไม่ลับ)จากเปียงยาง

ผมเพิ่งกลับจาก “หลังม่านโสมแดง”

 เพื่อแสวงหาคำตอบ ต่อคำถามที่ลี้ลับต่อชาวโลกมายาวนาน... เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับคนเกาหลีเหนือ, อาจารย์, นักศึกษา, เจ้าหน้าที่และผู้คนที่กรุงเปียงยางบางส่วน

รวมถึงคนแปลกหน้าที่โบกไม้โบกมือทักทายผมขณะปั่นจักรยานผ่านไป

ผมอยากรู้มานานแล้วว่าประเทศที่ถูกมองว่าโดดเดี่ยว, เคร่งขรึม, อึมครึม, ปกครองด้วยเผด็จการตระกูลเดียว และพร้อมจะกดปุ่มนิวเคลียร์สู้กับมหาอำนาจสหรัฐฯ นั้นมีตัวตนและลีลาอย่างไรกันแน่

ยิ่งเป็น ปราการด่านสุดท้าย ของระบอบคอมมิวนิสม์ของโลกด้วยแล้ว ประเทศที่อยู่เหนือ เขตปลอดทหาร DMZ (Demilitarized Zone) เส้นขนานที่ 38 แห่งคาบสมุทรเกาหลีขึ้นไปแห่งนี้ ยิ่งเป็นจุดของความสนใจอย่างยิ่งสำหรับผม

นี่คือจุดเปราะบางที่อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามใหญ่ครั้งใหม่ได้ตลอดเวลา

จีนสลายคลายความเป็นคอมมิวนิสต์ไปมากแล้ว

เวียดนามกลับมาคบหาสหรัฐอย่างอบอุ่นเหลือเชื่อ

คิวบาเพิ่งจะประกาศฟื้นสัมพันธ์ทางการทูตกับวอชิงตัน

จึงเหลือเกาหลีเหนือมีผู้นำวัย 33 ชื่อ คิมจองอึนรับช่วงเป็นรุ่นที่สามเท่านั้นที่ยังยืนหยัดความเป็น ตัวของตัวเองและพร้อมจะปะฉะดะกับยักษ์ใหญ่มะกันอย่างเหนียวแน่น

ในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ยังมีประเทศที่ยืนยันความเป็น สังคมนิยม” อย่างเด็ดเดี่ยวแข็งกร้าว แม้จะถูกโลกตะวันตกและสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากร่วม “คว่ำบาตร” ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมก็ยังคำรามเสียงดังว่าจะเป็น

“ชาติอันทรงพลังแห่งสังคมนิยม เป็นเอกราชทางการเมือง พึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจและเป็นตัวของตัวเองทางทหาร”

(“A socialist power, independent in politics, self-sufficient in the economy and self-reliant in defence.”)

เมื่อได้รับคำชักชวนจากมูลนิธิสันติภาพสากล หรือ International Peace Foundation (IPF) ให้ร่วมกับคณะเจ้าของรางวัลโนเบลสามท่าน เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนความเห็น กับอาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชั้นนำของเปียงยาง ผมย่อมมิอาจปฏิเสธได้

ยิ่งเป็นจังหวะใกล้ชิดติดกับการจัดประชุมสภาใหญ่แห่งพรรคคนงาน หรือ Workers’ Party อันเป็นพรรคคอมมิสนิสต์ ปกครองประเทศด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดครั้งแรกใน 36 ปี ยิ่งท้าทายให้ผมต้องตระเตรียมตัว เพื่อค้นหาคำตอบต่อคำถามที่มีอยู่ในใจในฐานะคนข่าวอย่างพิถีพิถันยิ่ง

เจ็ดวันเต็ม ๆ ที่ได้สัมผัส, แลกเปลี่ยน, ตั้งคำถาม, แหย่หาคำตอบ ตั้งวงจิบเบียร์, ชารสโสม, และชิม “กิมจิ” ทุกมื้อ ผมสรุปได้ว่า

เกาหลีเหนือวันนี้กำลังจะแง้มประตูเล็ก ๆ สู่โลกอย่างระแวดระวัง... บนเงื่อนไขและจังหวะลีลาของตน และบนพื้นฐานของการเคารพในศักดิ์ศรี ของความเป็นชาติที่สู้รบปรบมือกับอริราชศัตรูมาไม่น้อยกว่า 70 ปีในตำนานประวัติศาสตร์ยุคใหม่หลังสงครามโลก

คนเกาหลีเหนือที่ผมได้สนทนาด้วยมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความฝัน และความมุ่งหวังต่อชีวิตไม่ได้ต่างไปจากเรา ๆ ท่าน ๆ ในโลกทุนนิยม

คนรุ่นใหม่ที่เปียงยางในรั้วมหาวิทยาลัยที่ได้พบปะและซักถาม มีสติปัญญาความฉลาดเฉลียวอย่างน่าทึ่ง

ผมถามนักศึกษาของมหาวิทยาลัยคิมอิลซุงวัย 17 กลุ่มหนึ่งว่าเขาจบการศึกษาแล้วอยากจะเป็นอะไร คนหนึ่งบอก “เป็นนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แถวหน้า” อีกคนบอกว่า “ผมอยากเป็นนักเขียน” และอีกคนตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ผมต้องการเป็นนักดนตรี”

ทั้ง ๆ ที่นี่คือประเทศที่ยึดแนวทาง Songun หรือ กองทัพมาก่อน และคนเป็นทหารมีเกียรติและศักดิ์ศรี พร้อมสวัสดิการเหนืออาชีพอื่นใดทั้งหมด

และหนุ่มสาวของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ตอบคำถามผมเป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น

น้อยคนข้างนอกจะรู้ว่าเขาปรับตัวให้นักเรียนจากวัย 7 ขวบทุกคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองมาหลายปีดีดักแล้ว

จึงเป็นเรื่องค่อนข้างน่าแปลกใจ สำหรับผู้พบเห็นจากข้างนอก ที่เยาวชนเกาหลีเหนือสามารถเข้าใจ และสามารถมีปฏิสัมพันธ์เป็นภาษาอังกฤษกับผู้คนได้อย่างไม่เคอะเขิน

แน่นอนว่าระบบการปกครองของเขา ยังเป็นการรวมศูนย์ที่ตระกูล คิม และทุกประโยคจากปากของคนที่นั่นจะต้องแสดงความชื่นชม “ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่” (The Great Leader) คิมอิวซุงเคียงคู่ลูกชายคิมจองอิลก่อนอะไรอื่น แต่เมื่อลงถึงเนื้อหาของวิชาการ, ความรู้ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยีและนวัตกรรม, เกาหลีเหนือวันนี้กำลังเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าอย่างขมีขมัน

ไม่ว่าแนวทางเช่นนี้จะมาจาก วิสัยทัศน์ของท่านผู้นำ หรือ ความจำเป็นบีบบังคับ เพราะแรงกดดันจากรอบด้าน แต่ภาพที่เห็น เนื้อหาสาระที่ได้จากการตั้งคำถามเพื่อขอคำตอบล้วนตอกย้ำถึงความเปลี่ยนแปลงไปสู่ สังคมโลกใหม่ ของคนเกาหลีเหนือวันนี้อย่างชัดเจน

คำถามใหญ่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าการสร้างนวัตกรรม, การสร้างพื้นฐานความรู้ความสามารถของคนรุ่นใหม่ และการยืนหยัดในเศรษฐกิจพึ่งพาตนเองจะเดินเคียงคู่ไปกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ที่นำไปสู่การต่อต้านและคว่ำบาตรของโลกส่วนอื่น ๆ ได้อย่างไร?

นี่คือ ความลี้ลับที่จำต้องแสวงหาคำตอบต่อไป

แต่วันนี้ผมยืนยันได้จากประสบการณ์ “เจ็ดวันในเปียงยาง” ว่าเกาหลีเหนือวันนี้มิใช่ดินแดนแห่งความล้าหลัง ปิดตายหรือ “เมืองร้าง” อีกต่อไป

ผมไม่ได้มองเฉพาะด้านการวิเคราะห์ว่าระบอบเผด็จการ “ราชวงศ์คิม” จะสามารถต้านกระแสโลกได้นานเพียงใด

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณภาพและจิตวิญญาณนักสู้ นักค้นหาเอกลักษณ์เฉพาะตนของคนเกาหลีด้านเหนือ ที่ปรากฏชัดแจ้งในหมู่คนรุ่นใหม่

เจ้าของรางวัลโนเบลที่ร่วมตั้งวงเสวนากับนักศึกษาที่นั่น ย้ำกับผมว่าอนาคตของประเทศนี้ ไปได้ไกลแน่ไม่ว่าระบอบการเมืองจะเป็นเช่นไร

“เพราะพวกเขาหิวโหยความรู้เหลือเกิน” (“The young people of Pyongyang are so hungry for knowledge”)

อะไรคือความน่าพิศวง และอะไรคือปริศนาที่เป็นหัวข้อการเดินทางครั้งใหม่นี้ของผม... ติดตามได้ในคอลัมน์นี้ ทุกสื่อในเครือเนชั่น และแน่นอน ไทม์ไลน์สุทธิชัย หยุ่นทาง Nation TV เริ่มวันเสาร์นี้เป็นต้นไป