ประสิทธิภาพสูง ประสิทธิผลต่ำ

บางคนบ่นว่าทำงานมากมาย เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แต่ไม่มีใครเห็นความขยันขันแข็งของตน ค่าจ้างค่าตอบแทนก็น้อยนิด
เงินเดือนไม่มากแต่ขยันทำงานให้ตั้งเยอะ เสียสละสารพัดอย่างในชีวิต แต่ไม่มีคนเห็นความดีงามนี้ของตน คำตอบง่ายๆ และตรงไปตรงมาคือทำงานเยอะก็จริง ขยันมากก็จริง เสียสละมากก็จริง แต่ท่านกำลังขยันในสิ่งที่คนอื่นต้องการหรือไม่ ท่านกำลังขยันในสิ่งที่คนอื่นคาดหวังหรือไม่ ท่านกำลังทำงานด้วยอินพุทน้อยนิด แต่ให้เอาท์พุทเยอะแยะ ในสิ่งที่คนอื่นต้องการจริงๆ หรือไม่ ท่านกำลังมีประสิทธิภาพสูงในเรื่องที่คนอื่นคาดหวังต้องการจริงหรือไม่
ถ้าคำตอบคือใช่ทั้งหมด แสดงว่าท่านอยู่ผิดที่ผิดทางแล้วในวันนี้ เพราะขยันทำงานให้ได้ผลตามที่ต้องการแล้วยังไม่ใครเห็นคุณงามความดี แสดงว่าคนเหล่านั้นไม่ได้รับไม่ได้ชอบให้ท่านมาเป็นพรรคพวกเพื่อนพ้อง เห็นแค่ท่านเป็นเหมือนแค่เครื่องจักรเครื่องกลที่ใช้งานได้ตามใจเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ท่านควรเปลี่ยนหน้าที่การงานไปในวงการที่เขายอมรับท่านในฐานะคนร่วมงานได้แล้ว อย่าขยันอยู่กับการงานเดิมต่อไปเลย
ในทางตรงข้าม ถ้าท่านชักไม่แน่ใจว่าท่านมีประสิทธิภาพสูงในเรื่องที่คนอื่นเขาคาดหวังจริงหรือไม่ แสดงว่าท่านอาจไม่ทราบความต้องการที่แท้จริงของคนที่ท่านกำลังขยันอย่างมีประสิทธิภาพสูงอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่ทราบว่าเขาอยากได้อะไร ขยันเท่าใด ประสิทธิภาพสูงเท่าใด ประสิทธิผลก็ไม่เกิดขึ้น เพราะขยันร้อยเรื่อง ตรงความต้องการของลูกค้าให้แค่สองสามเรื่อง ทำร้อยคนเห็นแค่สองแค่สามเท่านั้น พึงตระหนักไว้เสมอว่าประสิทธิภาพต้องมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิผลพร้อมกันไปด้วย จะขยัน จะลดต้นทุน จะลดค่าใช้จ่ายต้องลดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่เราทำงานให้เสมอ
ทีมงานประชาสัมพันธ์ขององค์กรระดับยักษ์ใหญ่องค์กรหนึ่ง ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก มีแค่สามสี่คน เงินเดือนก็นิดหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่นที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน ขยันแจกข่าวประชาสัมพันธ์วันละสองสามเวลา แต่ยิ่งขยัน ภาพลักษณ์ขององค์กรนั้นยิ่งแย่เพราะไปแจกข่าวที่ลูกค้าไม่สนใจจะฟัง กลายเป็นองค์กรที่มีแต่เรื่องที่ขัดอกขัดใจลูกค้า แปลว่าทีมงานประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพสูง แต่ประสิทธิผลต่ำ
อาจารย์ขยันเขียนสารพัดเอกสารตั้งแต่เช้ายันเย็น สอนก็ไม่เคยขาด สอบก็ไม่เคยเว้น แต่ลูกศิษย์เรียนจบแล้วทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แปลว่าอาจารย์มีประสิทธิภาพสูง แต่ประสิทธิผลต่ำ
จะทำการงานใดในวันนี้อย่าบอกแค่ว่าฉันขยัน ฉันประหยัด ฉันเพิ่มรายได้อะไรอยู่ ต้องบอกก่อนว่าทำไมฉันจึงขยัน ฉันจึงเพิ่มประสิทธิภาพการงานนั้น คำว่าทำไมหมายถึงลูกค้าจะได้อะไรจากการขยันของฉัน หรือหน่วยงานของฉันจะได้อะไรที่ดีขึ้นจากความขยันของฉัน ทั้งนี้ต้องมั่นใจอย่างยิ่งว่าอะไรที่ดีขึ้นมานั้น เป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือความต้องการของลูกค้า หรือของหน่วยงานถ้าลูกค้าต้องการความปลอดภัยในการขับรถในถนนสาธารณะ ขยันให้มีจำนวนคนได้ใบขับขี่เยอะๆ ไม่ใช่ประสิทธิผล แต่ต้องขยันทำให้คนที่ได้ใบขับขี่ไปแล้วไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุในปีสองปีหลังจากนั้น
ตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือตัวบ่งชี้ประสิทธิผลไม่ใช่จำนวนคนได้ใบขับขี่ แต่เป็นจำนวนอุบัติเหตุที่มีต้นเหตุมาจากคนที่เพิ่งได้ใบขับขี่ไปแค่ปีสองปี ถ้ามีน้อยลงจนเป็นศูนย์ ทั้งๆ ที่มีคนได้ใบขับขี่เพิ่มขึ้นด้วย แปลว่าประสิทธิภาพสูง และประสิทธิผลสูง ถ้าคนได้ใบขับขี่เยอะขึ้นในเวลาเท่ากัน แต่จำนวนอุบัติเหตุจากมือใหม่หัดขับสูงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แปลว่าขยันอย่างไร้ประสิทธิผล ขอเน้นว่าจะขยันขันแข็งในการงานใด ต้องบอกให้ได้ก่อนขยันว่าความขยันของฉันสร้างผลกระทบในทางที่ดีกับเรื่องใดที่เป็นความต้องการของลูกค้า หรือของหน่วยงาน ไม่เช่นนั้นขยันไปก็ไร้คุณค่า อาจถูกด่าตามหลังไปอีกด้วย
การบอกว่าความขยันของฉันส่งผลกระทบในทางที่ดีอย่างไรนั้น ต้องมีข้อมูล มีสาระประกอบการบอกกล่าวนั้น บอกไปชัดๆ ว่าความขยันของฉันช่วยเพิ่มคุณค่าเรื่องใด ในปริมาณเท่าใด ในระยะเวลาเร็วช้าแค่ไหน หากไม่มีข้อมูลสาระมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างเรื่องผลกระทบในทางที่ดีแล้ว คำว่าดีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราว่าของเราว่าดี แต่คนอื่นบอกว่าไม่ดี เราขยันไปก็ไร้ค่าในสายตาคนอื่น ถ้าบอกเป็นข้อมูลสาระที่ใครๆ ก็เข้าใจได้ ตีความคำว่าดีได้เหมือนกัน เรายิ่งขยัน เราก็ยิ่งมีข้อมูลสาระสนับสนุนว่าเราได้สร้างผลกระทบดีๆ อะไรเกิดขึ้นมากแค่ไหน
ในยามที่สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในบ้านเมืองที่เจริญแล้ว และบังเอิญการงานของเราไปเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองที่เจริญก้าวหน้าเหล่านั้นมากๆ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งว่าบางอย่างที่เป็นจุดเด่นจุดแข็ง อาจกลายไปเป็นจุดอ่อนโดยไม่ทันรู้ตัว เพียงเพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงแบบ Disruption เกิดขึ้น ทำงานในวงการบริการความรู้แล้วผู้บริหารขยันขยายอาคารเล่าเรียน โดยหวังว่าจะทำให้กลายเป็นจุดเด่นว่ามีอาคารสถานที่มากกว่าคนอื่น แต่เมื่อมี Disruption ทำให้การเล่าเรียนเปลี่ยนจากโลกจริงมาเป็นโลกเสมือนมากขึ้นเรื่อยๆ
วันหน้าใครมีอาคารเยอะๆ จะกลับกลายเป็นจุดอ่อน เพราะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลอาคารโดยมีอัตราการใช้ประโยชน์น้อย เนื่องมาจากการเล่าเรียนย้ายไปในโลกไซเบอร์มากขึ้น อยู่ที่ไหนก็เล่าเรียนได้ไม่ต้องมารวมกันที่อาคารใหญ่โตนั้น อย่าขยันสร้างจุดแข็งที่อาจถูก Disruption เพราะความขยันนั้นจะกลายเป็นความขยันที่ไร้ผลดี หรืออาจเลยกลายเป็นผลเสียในวันหน้าด้วยซ้ำ
จะขยันทำงาน จะเพิ่มประสิทธิภาพการงานนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดียิ่งกว่ามาก ถ้าขยันให้ได้ประสิทธิผลพร้อมกันไปด้วย