ไม่ใช่เพราะใคร : Brexit

ไม่ใช่เพราะใคร : Brexit

ผลการลงประชามติเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสหราชอาณาจักร (UK) ในสหภาพยุโรป (EU) ออกมาว่าชาว UK เลือกขอออกจาก EU

มีจำนวนมากกว่าอีกฝ่าย ได้ก่อให้เกิดคำถามที่มีนัยสำคัญต่อความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับอนาคตความยั่งยืนของการรวมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองในเชิงพื้นที่ เพราะ EU ถือว่าเป็นกรณีรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกความเป็นจริง ดังนั้น EU จึงมักถูกใช้เป็นตัวอย่างในเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนแนวคิดของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วย การค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีระหว่างประเทศ

แต่อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานภาพของ EU ต้องสั่นคลอนจากการถอนตัวของ UK จนอาจกลายเป็นตัวอย่างให้กับอีกหลายประเทศให้ทำตาม

ปัญหาจริงๆ น่าจะมาจากหลายสาเหตุที่ผสมปนเป และค่อยๆ สะสมกันมา โดยที่ทั้ง EU และประเทศสมาชิกทั้งหลายก็ไม่สามารถร่วมกันแก้ไข เพื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวได้กับทุกฝ่าย ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดโดยธรรมชาติของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและทางการเมืองที่มีขนาดใหญ่อย่าง EU ที่มีสมาชิกมากถึง 28 ประเทศ และมีประชากรรวมกัน 500 ล้านคน

จึงไม่แปลกที่ประชาชนชาวอังกฤษเป็นสมาชิกที่มีขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่ จะมีคำถามเรื่องความคุ้มค่าของผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับเมื่อเทียบกับภาระความช่วยเหลือที่ให้กับสมาชิกของEU นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องแรงงานอพยพที่ต้องการเข้ามาหางานทำและมีผลทำให้เกิดการแย่งงานหรือแย่งใช้บริการสวัสดิการสังคมด้วย จึงทำให้ชาว UK มีความเห็นที่แตกแยกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนในเรื่องการออกจาก EU หรือไม่

ปัญหายังเกี่ยวโยงกับอดีตเรื่องการผลักดันให้เกิด European Monetary Union ได้สำเร็จก่อนเวลาอันควร ซึ่งต่อมาได้พัฒนาจนเป็นระบบเงินสกุลเดียวคือ Euro เนื่องจากความสำเร็จในครั้งนั้นเกิดจากเหตุผลทางการเมืองของยุโรปเองมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจ ดังที่ Milton Freidman เคยกล่าวเตือนไว้ตั้งแต่ปี 1997 ว่า อาจจะก่อให้เกิดปัญหาความยากลำบากในการบังคับใช้นโยบายการเงินที่เหมือนกันหมดกับหลายๆ ประเทศสมาชิก ที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างรุนแรง

ซึ่งก็มีมูลความจริงตามที่เห็นได้จากการที่อังกฤษได้ขอถอนตัวไม่ใช้ระบบเงินสกุล Euro มาตั้งแต่ต้น เพื่อให้ตนเองมีอิสระในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินได้เอง นอกจากนี้ ปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของกรีซที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการขาดดุลทางการคลังและนำไปสู่หนี้ภาครัฐที่สูงกว่าที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ กลายเป็นข้อจำกัดของกรีซในการใช้นโยบายการเงินเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน

อีกหนึ่งปัญหาที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นทั้ง EU และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็คือคำถามถึงแนวทางดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและมาตรการดอกเบี้ยติดลบของ ECB เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่นั้น กลายเป็นเสียงที่ดังมากขึ้น เพราะนโยบายเหล่านี้ไม่สามารถช่วยฟื้นเศรษฐกิจยุโรปให้ดีขึ้น หลายฝ่ายจึงเริ่มกังวลต่อผลลัพธ์สุดท้ายหาก ECB ยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวทางนี้ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาชัดเจน

ผล Brexit ได้สะท้อน ขันติธรรมของ UK ในการยอมรับความเห็นต่างของประชาชนทุกฐานะอาชีพอย่างสงบและเท่าเทียมกัน แม้ว่าผลของ Brexit จะสั่นสะเทือนต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกในระยะสั้นและต่ออนาคตของ UK เอง