เข้าใจเพื่อหนี Galápagos Syndrome

เข้าใจเพื่อหนี Galápagos Syndrome

สิ่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตกของประเทศอิกัวดอร์ในอเมริกาใต้ เข้ากับญี่ปุ่น

ซึ่งอยู่ในเอเชีย คือ ปรากฏการณ์ที่ชาวโลกรู้จักกันมากขึ้นในนามของ Galápagos Syndrome

​ถึงแม้หมู่เกาะ Galápagos ซึ่งประกอบด้วย 19 เกาะ มีพื้นที่รวมกันเพียง 8,000 ตารางกิโลเมตร มีคนอยู่อาศัย 26,000 คน แต่ผู้คนรู้จักชื่อกันมานาน ทั้งนี้เพราะ Charles Darwin ผู้เขียนหนังสือชื่อดังก้องโลก On the Origin of Species ตีพิมพ์ในปี 1859 เล่าเรื่องการพบต้นไม้และสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่แตกต่างกว่าที่อื่นเพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จนเอามาเป็นหลักฐานสำคัญส่วนหนึ่งในการสนับสนุน Evolution Theory (ทฤษฎีวิวัฒนาการ)

​Charles Darwin เขย่าศาสนจักรเพราะทฤษฎีนี้ค้านทฤษฎี Creation ซึ่งสอนและมีคนเชื่อกันมานานว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นเลย ไม่ใช่วิวัฒนาการ

​ข้อสังเกตอันหนึ่งของ Charles Darwin ก็คือต้นไม้และสัตว์มีชีวิตเหล่านี้เติบโตได้ดีในหมู่เกาะแห่งนี้ แต่เมื่อเอาออกไปนอกบริเวณแล้ว การปรับตัวทำได้ไม่ดี หลายพืชพันธุ์ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้

​ลักษณะพิเศษของสิ่งมีชีวิตใน Galápagos จึงถูกมาใช้เปรียบเปรยกับสินค้าหลายอย่างของญี่ปุ่นที่มีลักษณะแบบเดียวกัน และถูกใช้จนมีความหมายกว้างกว่าเดิม และสามารถนำมาใช้กับหลายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมอื่นด้วย

​Galápagos Syndrome (กลุ่มอาการของโรค Galapagos) ซึ่งมีที่มาจากธุรกิจของประเทศญี่ปุ่น อธิบายได้ด้วยหลายตัวอย่างดังต่อไปนี้

(1) โทรศัพท์มือถือ 3G ของญี่ปุ่น ซึ่งก็คือสินค้าที่ทำให้เกิดคำนี้พัฒนาขึ้นมา โดยมีลักษณะพิเศษที่ก้าวหน้ากว่าแห่งอื่นในหลายเรื่อง สินค้านี้ไปได้ดีมากในญี่ปุ่นและครอบงำตลาดญี่ปุ่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศเลย

​ผู้คนในอุตสาหกรรมนี้มีความกระวนกระวายใจ ซึ่งเกิดจากความไม่แน่ใจว่าพัฒนาการด้านโทรศัพท์มือถือของตน จะมีเส้นทางสอดคล้องกับที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆ ของโลกหรือไม่ และสินค้าญี่ปุ่นอย่างอื่นจะประสบชะตากรรมเดียวกันหรือไม่

​โทรศัพท์มือถือของญี่ปุ่นมีลักษณะคล้ายเหล่าพืชพันธุ์ที่ Charles Darwin พบบนเกาะ Galápagos กล่าวคือมีความโดดเด่น มีคุณภาพดีแตกต่างจากชาวบ้านเขา แต่มีระบบและมาตรฐานเฉพาะเพื่อกีดกันไม่ให้ต่างชาติเข้ามาตีตลาดได้ซึ่งก็ทำได้ดี แต่ก็เป็นดาบสองคมเพราะไม่สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ หลายแบรนด์ของโทรศัพท์มือถือญี่ปุ่นจึงวนเวียนใช้กันอยู่ในประเทศเท่านั้น เพิ่งจะมีเพียงน้อยแบรนด์ที่กำลังปรับตัวผ่านการปรับระบบและมาตรฐานเพื่อส่งออก

(2) Wallet Phone ในปี 2004 เริ่มมีการใช้ Wallet Phone ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นนวัตกรรมของญี่ปุ่นเองในเรื่องการจ่ายเงินทางโทรศัพท์มือถือ ที่จริงแล้วมันเป็นต้นกำเนิดของ Apple Pay และ Google Wallet ที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้จะเป็นของดี แต่ก็ใช้กันอยู่ในประเทศไม่สามารถนำออกไปให้เป็นที่นิยมในโลกได้

(3) รถยนต์ Kei ของญี่ปุ่น รถยนต์ขนาดเบาและเล็กนี้นิยมกันในญี่ปุ่นมาก มีทั้งในรูปสปอร์ต รถนั่ง รถขนสินค้า แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จในต่างประเทศ

​มีตัวอย่างอีกมากมายที่เกี่ยวกับความหมาย “เก่งในบ้านของ Galápagos Syndrome ทั้งนี้อาจโยงใยกับสิ่งที่ฝังอยู่ในสมองอันเนื่องมาจากการเป็น “ชาวเกาะ” ของญี่ปุ่น หรือจะด้วยเหตุผลประการใดทางธุรกิจก็ตามที

​ปัจจุบันมีการใช้คำนี้ออกมานอกเรื่องธุรกิจจนกลายพันธุ์เกิดคำใหม่ขึ้นคือ “Galápagosization” ซึ่งหมายความถึงกระบวนการตัดขาดหรือโดดเดี่ยวออกจากโลกภายนอก

​ต่อมาชาวโลกก็เอาคำเหล่านี้มาใช้กับเรื่องอื่น ๆ สำหรับความ “เก่งในบ้าน” ก็ได้แก่นักกีฬาที่เก่งแต่ในบ้าน พอไประดับโลกก็ไปไม่รอด นายทหารระดับสูงเก่งในเรื่องการทหารแต่พอถอดเครื่องแบบออกมาสมัครเลือกตั้งเล่นการเมือง ก็เหี่ยวปลายเกือบทุกราย (นักวิชาการก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน)

​อีกความหมายของ Galapagos ก็คือคนที่มองอะไรแคบ เสมือนเป็นสิ่งมีชีวิตบนเกาะนี้ที่ตัดขาดจากคนอื่น มองเห็นแต่การอยู่รอดบนเกาะนี้เท่านั้น หรือคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ งอกงามได้ดีเฉพาะบนเกาะ หากเอาไปนอกเกาะก็ไปไม่รอด

“Galápagosization” กลายเป็นเรื่องของใครก็ได้ที่มีกระบวนการโดดเดี่ยวตัวเองออกไป อังกฤษหลังลงประชามติก็เข้าความหมายนี้ Donald Trump ก็อยู่ในกระบวนการนี้เช่นกัน และเป็นคนพื้นเมืองของหมู่เกาะนี้แน่ๆ

​ญี่ปุ่นกำลังพนันตัวเองครั้งสำคัญที่จะพยายามเป็น Hydrogen Society คือใช้ก๊าซไฮโดรเจนที่แยกได้จากน้ำเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนรถยนต์และใช้ในชีวิตประจำวัน ปี 2020 สถานที่จัดกีฬาโอลิมปิกจะเป็นการเปิดตัว ถ้าชาวโลกรับเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างกว้างขวาง ก็เท่ากับเอาชนะ Galápagos Syndrome

​ทุกภาคส่วนต้องหนีให้ไกลการเป็นชาวเกาะนี้ มิฉะนั้นจะมีหนทางแคบลงในการมีชีวิตและดำรงชีวิต ​