ข้อสันนิษฐานความเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

ข้อสันนิษฐานความเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นหลักการสำคัญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่ตกเป็นจำเลย
ในคดีอาญา หลักการดังกล่าวเป็นหลักสากลซึ่งได้รับการเคารพและปฏิบัติตามเรื่อยมาในการตัดสินชี้ขาดคดีของศาลในไทย
มีบทบัญญัติในกฎหมายหลายฉบับที่แย้งกับหลักการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อสังเกตของผู้เขียนพบว่ากฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะที่รัฐให้ความสำคัญเป็นพิเศษมักจะมีบทบัญญัติที่กำหนดข้อสันนิษฐานว่า กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้แทนนิติบุคคลกระทำความผิด เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าตนไม่ได้รู้เห็น หรือยินยอมในการกระทำดังกล่าว หมายความว่า แม้ว่าจะไม่มีผู้บริหารคนใดลงมือกระทำความผิด แต่มีการกระทำอันถือได้ว่าเป็นความผิดของนิติบุคคลขึ้น ผู้แทนนิติบุคคลที่ไม่ได้ลงมือกระทำความผิดก็ต้องถูกสันนิษฐานให้ต้องรับผิดได้ เช่น พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ประมวลรัษฎากร พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์
เป็นที่ทราบกันดีว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 12/2555 ซึ่งวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 54 ซึ่งมีบทบัญญัติให้ผู้แทนนิติบุคคลต้องรับผิดตามข้อสันนิษฐานนั้นขัดต่อหลักนิติธรรมและขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 39 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่าในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
ศาลรัฐธรรมนูญยังได้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 10/2556 ซึ่งวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 78 ขัดต่อหลักนิติธรรมและขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสองด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานที่น่าจะให้ความมั่นใจได้ว่า หากบุคคลใดประสงค์ที่จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่มีบทบัญญัติที่มีข้อสันนิษฐานความรับผิดของผู้แทนนิติบุคคลที่กล่าวข้างต้น ก็จะได้รับคำวินิจฉัยในทิศทางเดียวกัน
ข้อสันนิษฐานที่ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์นั้น เป็นข้อสันนิษฐานอันมีที่มาจากหลักสิทธิมนุษยชน ดังปรากฏอยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 11 ที่ว่า “บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความผิดอาญา มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาโดยเปิดเผย และผู้นั้นได้รับหลักประกันทั้งหลายที่จำเป็นในการต่อสู้คดี” อีกด้วย
ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2559 ที่กำลังจะมีการทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็มีบทบัญญัติข้อสันนิษฐานความเป็นผู้บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ตามมาตรา 29 ของร่างรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า
“บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”
ซึ่งหากประชาชนเห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายใดไม่ชอบด้วยหลักการดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญก็อาจใช้สิทธิตามมาตรา 212 ของร่างรัฐธรรมนูญ (หากผ่านประชามติ) ในการขอให้ศาลที่พิจารณาข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและส่งความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย หรือขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตามมาตรา 230 ของร่างรัฐธรรมนูญ
กล่าวโดยสรุป ข้อสันนิษฐานความเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นหลักการที่ได้รับการเคารพและปฏิบัติตามต่อเนื่องสืบมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ แม้ว่าภาระการพิสูจน์ความผิดควรจะต้องตกแก่ผู้เป็นโจทก์ แต่ผู้แทนนิติบุคคลที่ไม่ได้รู้เห็นหรือมีส่วนร่วมในการกระทำที่ถือเป็นความผิดของนิติบุคคล ก็ยังคงต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงความบริสุทธิ์ของตนด้วยเท่าที่จะสามารถทำได้ ประเด็นว่าศาลไทยจะเห็นว่าผู้แทนนิติบุคคลจะต้องรับผิดหรือไม่จากพยานหลักฐานเป็นเรื่องของการใช้ดุลยพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ซึ่งโดยหลักในคดีอาญาโจทก์ก็ควรจะต้องพิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัย
ในคราวหน้าเราจะมาดูตัวอย่างการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลในคดีที่ผู้แทนนิติบุคคลตกเป็นจำเลยในคดีอาญาตามข้อสันนิษฐานกันค่ะ