แนวคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับความรับผิดของกรรมการ

เกี่ยวกับประเด็นว่ากรรมการหรือผู้แทนนิติบุคคลจะต้องรับผิดในการกระทำที่ถือว่าเป็นการกระทำของนิติบุคคลหรือไม่
เพียงใดนั้น เป็นประเด็นที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้บริหารของนิติบุคคลย่อมจะเกิดความกังวลว่า หากเกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายของบริษัทโดยตนไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแล้ว ตนจะต้องรับผิดหรือไม่ อย่างไรบ้าง
เกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคลในกรณีที่นิติบุคคลกระทำผิดกฎหมายที่มีบทลงโทษทางอาญา มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าผู้แทนของนิติบุคคลนั้นจะเป็นตัวการร่วมรับผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อันเป็นหลักทั่วไปหรือไม่ หรือต้องรับโทษตามบทบัญญัติเฉพาะตามกฎหมายที่กำหนดว่าการกระทำนั้นๆ เป็นความผิดเท่านั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 บัญญัติว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้น เป็นตัวการต้องระวางโทษตามความผิดนั้น
ในขณะเดียวกันก็มีกฎหมายหลายๆ ฉบับที่บัญญัติในทำนองเดียวกันว่า ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้เว้นแต่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น
จากคำพิพากษาฎีกาที่ 4040/2543 ได้บทเรียนประการหนึ่งว่า มาตรา 83 ประมวลกฎหมายอาญามุ่งเน้นเอาผิดกับบุคคลที่ร่วมกันกระทำความผิด โจทก์ จึงต้องนำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งหลายที่ถูกฟ้องว่าเป็นตัวการ (กล่าวคือ กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้แทนนิติบุคคล) นั้นร่วมกระทำความผิด แต่ในกรณีความผิดของกรรมการตามกฎหมายเฉพาะนั้น เป็นข้อสันนิษฐานความรับผิดของกรรมการ โดยกรรมการจะต้องนำหลักฐานมาพิสูจน์ว่าตนไม่ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น (เป็นการกลับหรือผลักภาระการพิสูจน์ไปให้แก่กรรมการ)
ในคดีนี้มีการฟ้องว่าผู้จัดการสาขาร่วมกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้จัดการสาขาไม่เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และ 2 โดยวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบพิสูจน์ ยังมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยที่ 3 (ผู้จัดการสาขา) จะได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตามหลักที่ว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด เมื่อนำสืบไม่ได้หรือมีเหตุอันควรสงสัย ศาลก็จะต้องพิพากษายกฟ้องไป
เรื่องการผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่กรรมการตามกฎหมายเฉพาะนั้น สืบเนื่องจากคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง พ.ร.บ.ขายตรง ซึ่งนำหลักข้อสันนิษฐานความบริสุทธิ์ตามกฎหมายอาญา (และรัฐธรรมนูญ)มาปรับใช้นั้นผู้เขียนเห็นว่า (เมื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติที่ผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่กรรมการใช้บังคับไม่ได้แล้ว) โจทก์ (อัยการ) ควรต้องพิสูจน์ว่าผู้แทนนิติบุคคลมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดของนิติบุคคลด้วยหรือไม่ และควรจะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นโดยสิ้นข้อสงสัยเช่นเดียวกันดังนั้น ผู้ที่สนใจว่าศาลจะพิจารณาคดีที่มีการฟ้องให้กรรมการต้องรับผิดตามกฎหมายเฉพาะอย่างไรก็อาจไปศึกษาแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินประเด็นความรับผิดทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคลตามกฎหมายอาญาได้ หากไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยว่ากรรมการที่ถูกฟ้องมีส่วนร่วมในกระทำความผิดกรรมการดังกล่าว ก็ไม่ควรที่จะต้องรับผิดตามกฎหมาย
ตัวอย่างกรณีที่ศาลพิเคราะห์ว่ากรรมการต้องรับผิดในความผิดของนิติบุคคล เช่นกรณีกรรมการเซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค (คำพิพากษาฎีกาที่ 63/2517) กรณีกรรมการโอนทรัพย์สินของบริษัทให้ผู้อื่นทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียหายต้องร่วมรับผิดฐานเป็นตัวการในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ด้วย (คำพิพากษาฎีกาที่ 2275/2529)