จากหางโจวสู่เวียงจันทน์ : ไทยต้องคว้าโอกาสทอง

เสร็จจากการประชุมสุดยอด G-20
ที่เมืองหางโจวของจีนแล้ว ผู้นำระดับโลกหลายคนก็บินตรงมาที่เวียงจันทน์ เพื่อร่วมประชุมสุดยอดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีอาเซียนเป็นแกนหลัก... ซึ่งสำหรับประเทศไทย อาจจะมีความสำคัญกว่า G-20 ในหลายๆ มิติด้วยซ้ำ
นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเชิญจากเจ้าภาพจีน ไปร่วมประชุมสุดยอดที่หางโจว ในฐานะที่ไทยเป็นประธานกลุ่ม G-77 (จำนวนสมาชิกจริงมีเกินร้อย) จึงได้จังหวะสัมผัสกับผู้นำระดับโลกหลายคน สามารถวัดชีพจรของความเป็นไปของเวทีการเมืองและเศรษฐกิจในหลายๆ เรื่องที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อไทยได้
แต่พอมาเวียงจันทน์ ภาพใหญ่ระดับโลกจะถูกย่อส่วนชัดแจ้ง ในระดับเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถกำหนดทิศทางและนโยบายของไทยได้อย่างแม่นยำขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงกำลังเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศ และคำว่า “ถ่วงดุลอำนาจ” ก็มีความหมายในทางปฏิบัติที่ต้องปรับเปลี่ยนไปเช่นกัน
ที่ไทยต้องเฝ้ามองการประชุมสุดยอดอาเซียนและ “หุ้นส่วนการเสวนา” dialogue partners ที่เวียงจันทน์คือท่าทีของมหาอำนาจว่าด้วยข้อขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และบทบาทของอาเซียนในเวทีสากลจากนี้ไป โดยเฉพาะเมื่อผลการเลือกตั้งสหรัฐหลังวันที่ 8 พ.ย.นี้ออกมา...ทิศทางนโยบายต่างประเทศของวอชิงตันจะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร
ภาพการจับมือระหว่างผู้นำอาเซียนกับแกนนำของมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นโอบามาแห่งสหรัฐ สีจิ้นผิงของจีน วลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ชินโซะ อาเบะ ของญี่ปุ่น เป็นต้น จะตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าวิเทโศบายต่างประเทศของไทยเรา จะต้องมุ่งไปในทาง “รุก” มากกว่าการ “ตั้งรับ” เพราะทุกชาติกำลังผลักดันผลประโยชน์ของตนอย่างหนักหน่วงกว่าที่ผ่านมา
เหตุเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ประกอบกับภัยจากการก่อการร้ายสากล ที่มีผลกระทบต่อทุกประเทศไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ขณะที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างหนักหน่วงและรุนแรง มีผลต่อการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในระดับและมิติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหตุการณ์วุ่นวายที่สนามบินเซียวซานหางโจว ว่าด้วยการต้อนรับขับสู้ผู้นำมหาอำนาจบางประเทศ ไม่เกิดซ้ำที่สนามบินวัดไตที่เวียงจันทน์เพราะเจ้าภาพ สปป. ลาวได้พิสูจน์ว่าสามารถทำหน้าที่ เป็นประธานหมุนเวียนของอาเซียนได้อย่างมีดุลยภาพอย่างดีมาแล้ว
ภาพที่ปรากฏที่สนามบินวัดไตคือโอบามาก้าวลงจาก Air Force One ทางประตูหลักพร้อมบันไดพรมแดง แม้เมื่อลงมาถึงพื้น ฝนพรำลงมา เขาต้องถือร่มเองขณะที่นายกฯประยุทธ์ ของไทยลงมาจากเครื่องบินกองทัพอากาศไทย มีเจ้าหน้าที่ลาวช่วยกางร่มให้อย่างสวยงาม
หวังว่าแถลงการณ์ร่วมจากการประชุมสุดยอดทั้งที่เป็นเฉพาะของอาเซียนเอง และที่จะแถลงร่วมกับผู้นำมหาอำนาจใหญ่น้อยอื่นๆ จะสะท้อนถึงวิธีการแก้ปัญหาของภูมิภาคและของโลกอย่างเป็นระบบ และให้ความสำคัญกับอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม
เอเชียกำลังเพิ่มความสำคัญมากขึ้นทุกวัน เพราะสถานการณ์ในส่วนอื่นๆ ของโลกไม่ว่าจะเป็นยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาและอเมริกาใต้ล้วนแต่อยู่ในสภาพถดถอยทางด้านเศรษฐกิจ และการคุกคามด้านความมั่นคงที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ
เอเชียยังเป็นภูมิภาคที่ศักยภาพทางเศรษฐกิจโดดเด่น แม้จีนและญี่ปุ่นจะชะลอตัวลง แต่ในภาพรวมก็ยังเป็นดินแดนแห่งการเติบโตที่มีพลังสูงกว่าจุดอื่นๆ ของโลก
หาไม่แล้ว โอบามาคงจะไม่ตอกย้ำนโยบาย “ปักหมุดเอเชีย” (Pivot to Asia) และมายืนยันความสำคัญของการผลักดันแนวทางการค้าเสรีผ่าน Trans-Pacific Partnership (TPP) แม้ว่าทั้งฮิลลารี คลินตัน แห่งพรรคเดโมแครตและ โดนัล ทรัมป์ แห่งรีพับบลิกันที่กำลังพันตูเพื่อชิงตำแหน่งทำเนียบขาว จะประกาศไม่ยอมรับแนวทางนี้ก็ตาม
ที่เวียงจันทน์ คู่ขัดแย้งก็คงจะยังเกี่ยงงอนกันอยู่เช่นสหรัฐกับจีนกับญี่ปุ่น รัสเซียกับอเมริกา จีนกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ แต่ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุดทุกชาติต่างก็รู้ว่า “ความเหมือนมีมากกว่ากว่าความต่าง”
นี่เป็นจังหวะสำคัญที่ไทยจะเล่นบทบาทเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่าง G-20 กับ G-77 และนำเสนอแนวทางความร่วมมือที่กล้าคิด “นอกกรอบ” จากเดิมที่มองเพียงเรื่องเหนือ-ใต้ ใต้-ใต้ หรือไตรภาคีเท่านั้น
ความร่วมมือ “รูปแบบใหม่” ที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดช่องว่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับยากจนเป็นสูตรที่มาจากวิธีคิดจากไทยและอาเซียนได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้มหาอำนาจเดินนำเสมอไป
คำแถลงของผู้นำไทยในเวทีสากล เรียกร้องให้ร่วมกันหาสูตรพัฒนาใหม่ด้วยการเน้น “ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นวลีไพเราะที่ต้องลงมือทำอย่างจริงจังในเวทีสากล
เพราะมหาอำนาจทั้งหลายก็ตระหนักว่า หากเกิดสงครามระลอกใหม่ ก็จะจบลงด้วยทุกฝ่ายเป็นผู้แพ้เท่านั้น!