หนังสือการลงโทษโดยสังคม โดยสังศิต พิริยะรังสรรค์

หนังสือ “การลงโทษโดยสังคม” (Social Sanctions) ของอ.สังศิต พิริยะรังสรรค์ มีเนื้อหาส่วนใหญ่
เชื่อมโยงกับเรื่องขบวนการประท้วงการทุจริตคอรัปชั่นทั้งในต่างประเทศและในไทย มี 6 บท 1.บทนำ ความสำคัญของปัญหา, วัตถุประสงค์การศึกษา, วิธีวิทยาในการวิจัย ฯลฯ 2. แนวคิดและทฤษฎีการลงโทษโดยสังคม – แนวคิดทฤษฎีเรื่อง Social Sanctions และวิธีวิทยาในการวิจัยของนักวิชาการโลกตะวันตกที่สำคัญหลายคน 2 บทแรกเขียนแนววิทยานิพนธ์ เหมาะสำหรับนักวิชาการหรือนักศึกษาปริญญาโท-เอก ส่วนเนื้อหาสาระที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่เหมาะสำหรับผู้อ่านทั่วไปอยู่ที่ 4 บทหลัง 3. การลงโทษโดยสังคม: กรณีศึกษาฟิลิปปินส์ ไต้หวัน อียิปต์ และอินโดนีเซีย 4. การต่อต้านคอรัปชั่นโดยมาตรการลงโทษทางสังคม 5. การลงโทษโดยสังคมเชิงบวก: บทวิเคราะห์การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ 6. สรุปและอภิปรายทั่วไป
Social Sanctions หมายถึงกลไกชนิดหนึ่งของสังคม ที่สังคมใช้เป็นบทัสฐาน (Norm) หรือเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของบรรดาสมาชิกในสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น เช่น การแสดงออกที่ไม่เห็นชอบด้วยโดยการใช้การลงโทษโดยสังคมเชิงลบกับบุคคล ครอบครัว องค์กร สถาบัน ชนชาติ หรือประเทศแห่งหนึ่งๆ เพื่อให้เกิดการจัดระเบียบขององค์กรหรือของโลก เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีปฏิบัติและการเห็นพ้องร่วมกันในสังคม และเป็นการสร้างข้อผูกพันทางสังคมร่วมกัน
Social Sanctions ยังรวมถึงการแสดงออกทางบวกในการสนับสนุนหรือการให้รางวัลเป็นแรงจูงใจให้คนทำสิ่งที่สังคมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ด้วยเช่นกัน เช่น การรณรงค์ไม่ให้คนสูบบุหรี่ ถือว่าเป็นเรื่องทางบวก คำว่า Sanctions ตามตัวหนังสือแปลได้ทั้งการลงโทษและการอนุมัติ การใช้คำว่า การลงโทษทางสังคม จะเหมาะกับการแสดงออกทางลบมากกว่า
ถ้าใช้คำว่า การกดดันทางสังคม น่าจะใช้ได้ทั้งทางบวกและทางลบ ทางราชบัณฑิตใช้คำว่า สิทธานุมัติทางสังคม ซึ่งฟังแล้วเข้าใจยาก คำว่า คว่ำบาตร เป็นคำที่คนไทยคุ้นกว่าแต่หมายถึงการกดดันในทางลบ ในประวัติศาสตร์สังคมส่วนใหญ่ Social Sanctions คือ การกดดันในทางลบ กรณีที่หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงส่วนใหญ่คือกรณีที่ประชาชนร่วมกัน Sanctions รัฐบาลที่ทุจริตฉ้อฉล ทั้งในต่างประเทศและในไทย (เน้นสมัยรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์)
การลงโทษทางสังคมเป็นการใช้เครื่องมือที่นอกเหนือไปจากกฎหมายในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมามีกรณีที่คนไทยที่ตื่นตัวทำ Social Sanctions รัฐบาลที่ทุจริตฉ้อฉลที่เห็นได้ชัดหลายเรื่อง เช่น การไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การจงใจทำบัตรเสีย การลงคะแนนไม่ประสงค์จะเลือกใครในการจัดการเลือกตั้งที่รัฐบาลกลุ่มทักษิณรีบยุบสภาหนีปัญหาและจัดเลือกตั้งใหม่ โดยที่พรรคฝ่ายค้านและประชาชนไม่เห็นด้วย การรณรงค์คว่ำบาตรถอนเงินปิดบัญชีธนาคารออมสิน เมื่อรัฐบาลบีบให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ให้ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์ไปใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวที่ทั้งขาดทุนทั้งทุจริตฉ้อฉล การคว่ำบาตรเลิกเป็นลูกค้าของบริษัทโทรศัพท์มือถือและบริษัทในเครือของกลุ่มทักษิณ ฯลฯ เรื่องที่อ.สังศิตนำเสนอเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการประท้วงทางการเมืองและสังคมที่ความจริงแล้วมีเนื้อหากว้างขวางกว่า Social Sanctions
บทที่ 3 กรณีศึกษาการลงโทษโดยสังคมในประเทศ 4 ประเทศ กำลังพัฒนานั้น ช่วยให้เราเห็นปัญหาในประเทศอื่นที่มีส่วนคล้ายกับไทยมากขึ้น แม้ในบางประเทศ ประชาชนจะตื่นตัวมากถึงกับประท้วงขับไล่รัฐบาลที่ทุจริตฉ้อฉลอยู่มานานได้สำเร็จ และมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่หลังจากนั้นรัฐบาลชุดต่อๆ มาก็ทุจริตฉ้อฉลและโดนประชาชนขับไล่อีกเช่นกัน น่าคิดน่าศึกษาต่อว่าทำไมพลังทางสังคมจึงมีข้อจำกัด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบทสัฐานหรือบรรทัดฐาน (Norm) ของสังคม ให้สามารถได้รัฐบาลที่ดีขึ้นจริงๆ ได้เสียที เมืองไทยตอนนี้ก็กำลังมีปัญหาคล้ายกัน
บทที่ 4 ถึง 6 เป็นกรณีศึกษาเรื่องเมืองไทย กรณีการลงโทษโดยสังคมซึ่งรวมทั้งการประท้วงรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์รูปแบบอื่นๆ ด้วย เป็นการสรุปเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นไว้ได้อย่างครอบคลุมน่าสนใจ เรื่องพวกนี้รัฐบาลคสช. น่าจะสนใจนำไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบมากขึ้น เพราะยังมีประชาชนที่ไม่รู้และมีเชื่ออีกแบบหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงอยู่มากพอสมควร
บทที่ 5 ว่าด้วยการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่ เล่าเรื่องและสรุปได้ดี แต่การรณรงค์เรื่องการไม่สูบบุหรี่คงจะมีหลายเรื่องประกอบกัน ไม่ใช่ Social Sanctions อย่างเดียว เช่น การรณรงค์ผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ การขึ้นราคาบุหรี่ และมีทุนและกำลังคนรณรงค์ด้านการให้ความรู้และออกสื่อในเรื่องนี้มาก ฯลฯ แต่ก็ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่การกดดันทางสังคมมีผลสำเร็จค่อนข้างมาก
นี่เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่าเราจะนำเรื่องการกดดันทางสังคมไปใช้กับเรื่องดีเรื่องอื่นๆ เช่น รณรงค์ให้คนรักอ่านหนังสือ รณรงค์ให้คนรังเกียจและต่อต้านการทุจริตฉ้อฉลทุกเรื่อง ทุกรูปแบบ ฯลฯ ได้หรือไม่ อย่างไร รวมทั้งการกดดันทางสังคมต่อรัฐบาลทุจริต น่าวิจัยต่อว่าจะทำให้เกิดผลยั่งยืนหรือทำให้เกิดการยอมรับของประชาชน (ในเรื่องว่ารัฐบาลไม่ควรจะทุจริตเลย) สูงขึ้นได้อย่างไร เรื่องความคิด, การตื่นตัวของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญ กฎหมายทางการเมืองต่างๆ อาจจะสำคัญมากกว่าด้วย
ผู้สนใจหนังสือเล่มนี้สั่งซื้อโดยมีส่วนลดได้ที่ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โทร. 02-533-9697 หรืออีเมล miwa2_96@hotmail.com