ประกันภัยสุขภาพข้าราชการ

ประเด็นความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนระบบสวัสดิการข้าราชการ มาเป็นระบบประกันภัยสุขภาพข้าราชการ
ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณาเมื่อไม่นานมานี้ โดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่น่าสนใจประเด็นหนึ่ง เพราะเกี่ยวกับข้าราชการทั่วประเทศนับล้านคนที่รับสวัสดิการจากรัฐในปัจจุบัน โดยกรมบัญชีกลางได้เปิดเผยตัวเลขว่า รัฐได้จ่ายเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลให้ข้าราชการเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งในปี 2559 นี้จะมากกว่าหกหมื่นล้านบาท และคาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด รัฐอาจไม่มีเงินจ่ายอีกต่อไป จึงต้องการหาวิธีการอื่นที่ทำอย่างไรให้ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการข้าราชการไม่เพิ่มขึ้นมากนัก แต่สิทธิประโยชน์ยังคงเดิม ไม่ลดน้อยลง โดยได้ตั้งประเด็นเป็นตุ๊กตา เพื่อศึกษาความเห็นจากข้าราชการและประชาชนทั่วไป
ในอดีต รัฐให้สิทธิประโยชน์ข้าราชการในระบบสวัสดิการ มากกว่าผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ในระบบอื่นเชิงเปรียบเทียบ อาทิพนักงานลูกจ้างในระบบประกันสังคม และประชาชนทั่วไปในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ ด้วยเหตุผลว่า เป็นการตอบแทนข้าราชการที่ทำงานให้รัฐโดยได้รับเงินเดือนค่าตอบแทนโดยเฉลี่ยต่ำกว่าภาคเอกชน ต้องการให้ข้าราชการมีความมั่นคงของชีวิตในบั้นปลาย และต้องการให้สวัสดิการจากการรับราชการครอบคลุมถึงสมาชิกในครอบครัว
แต่ในปัจจุบัน เงินเดือนของข้าราชการได้รับการปรับให้สูงขึ้นมากและใกล้เคียงกับภาคเอกชนมากขึ้น เงินเดือนข้าราชการในบางสาขาเมื่อรวมค่าตำแหน่ง ค่าวิชาการ ค่าบริหาร ค่าที่พัก ค่าเบี้ยเลี้ยงพิเศษ ค่าเบี้ยกันดาร ค่าเสี่ยงภัย และอีกหลายๆอย่าง รวมกันแล้วจัดว่าไม่น้อยกว่าเอกชนเลย โดยเฉพาะในบางสายอาชีพเช่นข้าราชการตุลาการ ข้าราชการอัยการ อาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐ รวมตลอดถึงข้าราชการที่ได้รับพิจารณาว่าอยู่ในสาขาวิชาชีพขาดแคลน ก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มอีกเกือบเท่าตัว ซึ่งไม่น้อยกว่าค่าตอบแทนภาคเอกชนเลย ในขณะเดียวกันสิทธิประโยชน์ที่เป็นสวัสดิการข้าราชการก็เหมือนเดิม ไม่เคยลดลง งบเบิกจ่ายสวัสดิการจึงมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกปี
จึงเป็นแนวคิดที่น่าสนใจว่ารัฐจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะงบประมาณจากรัฐก็มาจากภาษีประชาชน ถ้ารัฐเก็บภาษีได้น้อยลง หรือค่าใช้จ่ายสวัสดิการเพิ่มมากขึ้น รัฐจะเอาเงินจากไหน ในขณะที่กองทุนประกันสังคมสามารถเรียกเก็บเงินส่วนของนายจ้างและลูกจ้างรวมทั้งเงินสมทบจากรัฐเอาไปลงทุนหาประโยชน์ได้ หรือเงินกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติก็ได้รับส่วนหนึ่งจากภาษีเฉพาะ แต่เงินสวัสดิการจากรัฐทำไม่ได้ เป็นงบจากงบประมาณรายจ่ายอย่างเดียว จะขึ้นภาษีเพื่อสวัสดิการข้าราชการก็คงถูกคัดค้านเพราะประเทศไทยไม่ใช่รัฐสวัสดิการเหมือนบางประเทศที่เก็บภาษีสูงลิบ 30 - 40% ต่อปี คงไม่มีขนห่านให้ถอนมากกว่านี้แล้ว
การที่รัฐต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามารับผิดชอบการให้บริการประกันภัยสุขภาพโดยให้สิทธิประโยชน์ไม่น้อยกว่าที่ได้รับอยู่ในขณะปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่น่าคิด และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในระยะยาว
จริงๆแล้วการทำประกันภัยสุขภาพไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้ว ในหลายประเทศ เพียงแต่ค่าเบี้ยประกันจะสูงขนาดไหน คงเป็นอีกเรื่องที่จะต้องพิจารณา
เรื่องหลักที่ภาคเอกชนจะพิจารณารับหรือไม่รับประกันสุขภาพข้าราชการคืออัตราความเสี่ยงภัย เหมือนดังเช่นประกันสุขภาพที่อยู่ในรูปแบบประกันหมู่ แต่ขอบเขตความรับผิดชอบของบริษัทจะกว้างไกลแค่ไหนคงอยู่ที่เงื่อนไขข้อตกลงกับภาครัฐ หรือกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
บริษัทเอกชนคงต้องหารือกับสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในเรื่องขอบเขตการรักษาพยาบาลตลอดจนการให้บริการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ เพราะอาจมีหลายบริษัทเข้าร่วมและอาจต้องแบ่งโซนการให้บริการ เชื่อว่าการแบ่งโซนจะมีผลต่อการคิดอัตราเบี้ยประกันเพราะแต่ละโซนย่อมบริการให้ความสะดวกประชาชนได้ไม่เท่ากัน เนื่องจากศักยภาพและระดับการพัฒนาของแต่ละท้องถิ่นต่างกัน
และเชื่อว่าทุกบริษัทเอกชนจะมีการทำประกันต่อ (Re - insurance) เพื่อความมั่นใจว่าหากเกิดความรับผิดในเรื่องที่มีความเสียหายสูง จะไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
รัฐคงต้องพิจารณาเรื่องสิทธิในการเลือกใช้บริการของข้าราชการด้วย คือให้โอกาสข้าราชการเป็นผู้เลือกใช้บริการเอง ซึ่งหมายความว่าต้องมีผู้ประกอบการหลายรายให้เลือก เพราะแม้จะให้บริการเหมือนกัน แต่ชื่อเสียงและการยอมรับอาจต่างกัน ดีกว่ากำหนดให้ต้องทำกับใครเพียงรายหนึ่งรายเดียว และเป็นการแข่งขันการให้บริการของเอกชนด้วยในตัว เพื่อที่จะได้รับเลือกในปีต่อๆไป
ถ้าเป็นไปได้ รัฐอาจเชิญผู้รับประกันภัยจากต่างประเทศให้พิจารณาเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย เพราะบริษัทต่างประเทศจะมีขอบเขตการรับประกันที่กว้างขวางกว่าผู้รับประกันภายในประเทศ และที่สำคัญ ผู้รับประกันจากต่างประเทศจะพิจารณาถึงความสามารถในการลงทุนจากเบี้ยประกันที่ได้รับในแต่ละปี ถ้าบริษัทรับประกันสามารถเอาเงินค่าเบี้ยประกันลงทุนในกิจการที่เกิดประโยชน์สูง ก็อาจมีผลให้เบี้ยประกันลดต่ำได้ บริษัทประกันในประเทศจะถูกจำกัดตามกฎหมายเรื่องการลงทุน ไม่สามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้มาก ทำให้ส่วนใหญ่แค่ลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้หรือปล่อยกู้ให้ผู้เอาประกันโดยใช้เงินจากเบี้ยประกัน การลงทุนแบบนี้ทำให้ได้รับผลตอบแทนต่ำมาก มีผลให้เบี้ยประกันสูง
การบริหารจัดการแบบธุรกิจของบริษัทประกันภัยที่มีประสิทธิภาพจะทำให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนเหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะบริษัทประกันย่อมควบคุมมิให้สถานพยาบาลในคอนแท็คจ่ายยาและอุปกรณ์การรักษาพยาบาลเกินความเป็นจริงที่ใช้ในการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นปัญหาที่หน่วยราชการต้นสังกัดไม่สามารถทำได้เมื่อถูกตั้งเบิกเพื่อการเบิกจ่าย และเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้
การประกันภัยสุขภาพข้าราชการจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับระบบสวัสดิการข้าราชการในอนาคต
---------------------
ดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร
นักวิชาการอิสระ