“University 42” ตัวอย่างให้มหาวิทยาลัยไทย
วิกฤติ “ขาดนักศึกษา” ของมหาวิทยาลัยไทย และวิกฤติ “ขาดแคลนทักษะ” บางอย่างของสังคมไทย รวมกันแล้วอาจเป็นโอกาส
ที่มหาวิทยาลัยจักได้รับใช้สังคมไทยอย่างถูกกาละเทศะ ขอยกตัวอย่างความคิดริเริ่มในการเพิ่มทักษะด้านไอทีในฝรั่งเศส และสหรัฐเพื่อเป็นอุทาหรณ์เปลี่ยน “วิกฤติ” ให้เป็น “โอกาส”
ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยกำลังขาดแคลนนักเขียนโปรแกรมอย่างรุนแรง (เรียกกันว่า coder หรือ programmer เมื่อก่อนไม่เรียกการเขียนโปรแกรมว่า coding หากเรียก programming)
โปรแกรมเมอร์ที่ใช้งานได้นั้นต้องมีทักษะจินตนาการ และ ความคิดสร้างสรรค์ บวก ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือประสบการณ์ในการลงมือปฏิบัติจริง โดยเฉพาะในเรื่องการแก้ไขปัญหาและการทำงานเป็นทีม
มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศสที่ร่ำรวยจากเทคโนโลยีชื่อ Xavier Niel กับ Nicolas Sardirac นักการศึกษา และเพื่อนอีก2คน ร่วมกันตั้งสถาบันการศึกษานอกกรอบ เพื่อพัฒนาโปรแกรมเมอร์ หรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ฝรั่งเศสขาดแคลน
“42” หรือ “École 42” หรือ “University 42” (École หมายถึง โรงเรียนอาจเป็นประถมหรือมัธยมหรือสถาบันการศึกษาเฉพาะทางก็ได้)เป็นสถาบันเอกชน ไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียน กินอยู่ฟรี ไม่มีปริญญาให้ และไม่มีอาจารย์สอน
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดบริจาคโดย Xavier Niel ซึ่งคาดว่าจะใช้ไปได้ประมาณ 10 ปี (ประมาณปีละ 300 ล้านบาท) หลังจากนั้นก็หวังว่าจะมีเศรษฐีคนอื่นเข้ามาช่วย (เปิดมา 3 ปีปัจจุบันจ่ายไปทั้งหมดแล้ว ประมาณ57ล้านดอลลาร์ หรือ1,710 ล้านบาท)
“University 42” ไม่มีการเรียนการสอนสาขาอื่น มุ่งไปที่จุดเดียวคือผลิตนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นยอดปีละประมาณ 1,000 คน เรียน 3-5 ปี แล้วแต่ใครจะใช้เวลานานเท่าใด มีหอพัก มีอาหารฟรีให้นักศึกษาที่แย่งกันเข้า
ประการสำคัญไม่มีการนั่งฟังเลคเชอร์ และสอบโดยอาจารย์ เพราะที่นี่ไม่มีอาจารย์ เปิดเรียน 24 ชั่วโมง 7 วัน ผู้เรียนทุกคนคืออาจารย์ของกันและกัน
ในปีแรกคือ 2013 ที่เปิดรับนักศึกษา มีผู้สมัคร 80,000 คน เรียนจบระดับใดหรือสาขาใดก็ได้ทั้งนั้น มีอายุระหว่าง 18-30 ปี มีการสอบคัดเลือกอย่างเข้มข้นเพื่อหาผู้มุ่งมั่นบากบั่นและมี “แวว” จนเหลือ 3,000 คน
จากนั้นก็เข้าเรียนหลักสูตรเข้มข้นเต็มเวลาด้านการเขียนโปรแกรมเป็นเวลา 4 อาทิตย์ เพื่อตัดให้เหลือ 1,000 คน ในปีต่อมาก็ไม่ลดความร้อนแรง แต่รับได้ปีละ 1,000 คน เท่านั้น
การเรียนรู้ที่ “University 42” อาศัย project-based learning และ การเรียนรู้จากกันและกัน นักศึกษาต้องทำงานโปรเจคหนักมาก ทีมละ5-6 คน ชนิดไม่ได้หลับไม่ได้นอนเป็นอาทิตย์
โปรเจคมาจากของจริง เช่นให้พัฒนาซอฟต์แวร์โปรแกรมของโทรศัพท์บางรุ่นที่ล้าสมัยให้ทำงานได้กว้างขวางขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“University 42” ย้ำว่านักศึกษาเป็นเจ้าของ intellectual property rights ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องการหาประโยชน์จากนักศึกษา หากต้องการสร้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับยอดของโลกที่ออกไปทำงานจริงๆได้ทันที
ไอเดียของ “University 42” ได้รับการต้อนรับดีมากโดยเฉพาะจากภาคอุตสาหกรรมที่ขาดโปรแกรมเมอร์รุนแรง ทดลองไปปีเดียวก็เกิดไอเดียว่า ทำไมไม่ไปเปิดบ้างที่ Silicon Valley ใกล้ Stanford University ในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นแหล่งผลิตเทคโนโลยี IT ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
“42 Silicon Valley ”คือแคมปัสในสหรัฐของกลุ่ม 42 ซึ่งให้การสนับสนุนทั้งทุนและรูปแบบการศึกษา โดยจัดตั้งเป็นองค์กรที่ไม่มุ่งหวังกำไรในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งอยู่ที่เมืองFremont ในแถบ San Francisco Bay ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากSilicon Valley
เหตุที่ชื่อ42ก็เพราะในนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อ “The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy” เขียนโดยนักเขียนอังกฤษ Douglas Adams (ผู้ริเริ่มทำเป็นรายการวิทยุเป็นตอนๆประมาณปี 1978 ต่อมาเป็นทั้งละคร การ์ตูน ทีวีซีรีส์ ภาพยนตร์ เกมวีดีโอ และหนังสือ)
ในเรื่องนี้มีตัวละครถามซูเปอร์คอมพิวเตอร์ว่า “อะไรคือคำตอบสุดท้ายของคำถามเกี่ยวกับชีวิต จักรวาลและทุกๆสิ่ง” Deep Thought ซึ่งเป็นชื่อของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้เวลาคิดอยู่ 7.5 ล้านปี และให้คำตอบว่า “42”
“University 42” ถึงจะไม่มีอาจารย์ประจำ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมผู้ใช้ประโยชน์ และจากมหาวิทยาลัยคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับโปรเจค ที่มอบให้นักศึกษาไปทำ ตลอดจนเนื้อหาของการเรียนรู้ และทักษะที่นักศึกษาต้องมี
นักศึกษาจะเรียนจบหากได้แต้มสะสมครบตามที่ระบุไว้ แต้มเหล่านี้ก็ได้มาจากการตรวจสอบแก้ไขโปรเจคของเพื่อนนักศึกษา
ยังไม่ทันที่นักศึกษาเรียน 3-5 ปี เพื่อจบออกมา ก็มีการลาออกไปทำงานเพราะมีคนมาซื้อตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งผู้บริหาร“University 42”ก็มิได้ว่าอะไร เพราะเป็นการให้ทุนที่ไม่มี ข้อผูกพัน
Xavier Niel เศรษฐีใจบุญเน้นเรื่องการให้เรียนฟรี พร้อมที่อยู่และอาหาร เพราะเขาเห็นว่าในฝรั่งเศส มีเด็กที่มีคุณสมบัติที่จะเลื่อนชั้นขึ้นไปในสังคมด้วยความสามารถของตนเองได้ แต่ขาดโอกาสอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะไม่ได้เรียนในโรงเรียนมัธยมและสถาบันการศึกษาขั้นสูงที่มีชื่อเสียง
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการเขียนโปรแกรมเป็นศิลป์มากกว่าวิทยาศาสตร์ ความรู้เรื่องคณิตศาสตร์ขั้นสูงเป็นสิ่งไม่จำเป็น การเรียนรู้ที่มาจากประสบการณ์ที่กว้างขวางและความสามารถร่วมทำงานเป็นทีมกับผู้อื่นเป็นเรื่องสำคัญกว่า
การพัฒนาซอฟต์แวร์โปรแกรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนต้องการความละเอียดรอบคอบ และจินตนาการ ที่จะทำให้เรื่องยืดยาวเป็นเรื่องกะทัดรัดลองดูตัวอย่างต่อไปนี้
(ก)ในการผลิตแอพพลิเคชั่นหนึ่งๆ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เพื่อสั่งให้ iPhone ทำงานโดยเฉลี่ยใช้ไม่เกิน 50,000 บรรทัดของ coding
(ข) Google มีคำสั่งเพื่อให้บริการทั้งหมดประมาณ 2,000 ล้านบรรทัดของcoding
(ค)ซอฟต์แวร์ Photoshop เวอร์ชั่นแรกใช้ประมาณ 12 ล้าน บรรทัดของ coding
(ง) facebook ใช้ประมาณ 50.6 ล้านบรรทัดของ coding
(จ) ซอฟต์แวร์สำหรับการบินของเครื่องบิน Boeing 787 ใช้ประมาณกว่า10 ล้านบรรทัดของcoding
1 ล้านบรรทัดของ coding เท่ากับกระดาษพิมพ์ข้อความ 18,000 หน้า ดังนั้นซอฟต์แวร์ของ facebook หากพิมพ์ออกมาจะเป็นกระดาษที่บรรจุคำสั่งที่ทำให้ facebook ทำงานรวมประมาณ 910,800 หน้า
การเขียนซอฟต์แวร์ตัวหนึ่ง ต้องแบ่งกันเขียน coding เป็นสิบเป็นร้อยคน และต้องเอามาต่อกันให้ทำงานได้อย่างไม่มีรอยต่อ ไม่มีจุดบกพร่อง ต้องตรวจ ต้องแก้ไขดังนั้นจึงกินเวลาและใช้ทักษะสูง
ในโลกเรามีการพัฒนาซอฟต์แวร์อยู่นับเป็นแสนๆ โครงการอยู่ตลอดเวลา ความต้องการโปรแกรมเมอร์จึงมีมากมายอย่างไม่สิ้นสุด
ปัจจุบันโครงการแนว 42 เกิดขึ้นใน Romania, South Africa, Ukraine, Bulgaria, the Netherlands, Tunisia และกำลังคิดจะเปิดกันในอีกหลายประเทศ
ถ้ามีจำนวนนักศึกษาเรียนน้อยลงในมหาวิทยาลัยไทยเราก็ต้องปรับวิธีคิดใหม่ ลดการผลิตปริญญาหันมาเพิ่มการสอนนานาทักษะสำหรับคนรุ่นใหม่และประชาชนตามที่สังคมต้องการ สอง ”วิกฤติ” ก็สามารถกลายเป็นหลาย “โอกาส” ได้