แอบถ่ายคลิปในปัจจุบัน กับบัตรสนเท่ห์ในอดีต
การถ่ายคลิปโดยผู้ถูกถ่ายไม่รู้ตัว แล้วถูกนำไปเผยแพร่นี่น่าจะมีอะไรบางอย่างในการลงโทษผู้กระทำและเผยแพร่ ถ้าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
นึกถึงครั้งหนึ่งสมัยคุณแม่รับราชการ แล้วถูกบัตรสนเท่ห์ เรื่องมีอยู่ว่า ทีบ้านเป็นคนต่างจังหวัด คุณแม่เป็นข้าราชการธุรการของแผนกอัยการ ทำงานตั้งแต่เป็นเสมียนศาลและย้ายมาอยู่อัยการด้านธุรการ มีความรู้จบชั้นมัธยมต้น ม.6 (เท่ากับ ม. 4 ในปัจจุบัน) เป็นข้าราชการชั้นเอก เงินเดือนประมาณ 5,000 บาท เมื่อถูกบัตรสนเท่ห์นั้น คุณแม่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ดูแลลูกสี่คน ผมเป็นลูกคนโต
ประมาณปี 2520 ผมไปทำงานกับรัฐบาลอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร และเกิดรัฐประหาร ผมกลายเป็นคนตกงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีใครอยากรับทำงาน แม้ที่ทำงานเดิมที่เคยทำงานก็ไม่รับ ผมจึงไปต่างประเทศ โดยเกือบจะไม่มีเงินเลยนอกจากการขายรถเก๋งโตโยต้าคันเล็กๆคันเดียวที่ยังผ่อนไม่หมด ขายได้ราคาแสนกว่าบาท มีเงินเท่านั้นจริงๆ แต่ผมเป็นนักสู้ ไม่มีอะไรจะเสีย ทำงานด้วยเรียนด้วย จนเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่ Mississippi Law School ได้ แต่ก็ต้องทำงาน part time ระหว่างเรียน full time ตอนปิดภาค มีเงินเหลือพอสมควร คุณแม่บอกว่า อยากให้เอาน้องๆไปเรียนด้วย เพราะที่บ้านก็อยู่กันแบบชาวบ้านๆ ดูจะไม่มีทางก้าวหน้า แต่คุณแม่ไม่มีเงินส่ง ผมเลยรับน้องมาอยู่สองคนติดๆกัน โดยทำงานไปด้วยเรียนด้วยเหมือนกับผม
คุณแม่ถูกบัตรสนเท่ห์มีใจความว่า มีความร่ำรวยผิดปกติ เพราะเป็นแค่ข้าราชการชั้นเอกเงินเดือนไม่กี่พันบาท แต่ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศได้ถึงสามคน คุณแม่ชี้แจงตามขั้นตอนตามความเป็นจริงว่า ลูกๆไม่ได้ใช้เงินแม่ ไปทำงานด้วยเรียนด้วย แต่ไม่มีใครเชื่อและถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ระหว่างการสอบสวนนั้น คุณแม่ถูกสั่งพักราชการ ให้มาประจำกรมที่กรุงเทพ ทั้งๆที่ไม่มีงานให้ทำ คุณแม่เช่าหอพักอยู่กรุงเทพไปวันๆ ช่วงรอเวลาที่กรมอัยการตั้งคณะกรรมการสอบสวน นานเป็นปี
ในที่สุดคณะกรรมการลงมติว่าคุณแม่ไม่มีความผิด แต่ไม่มีตำแหน่งงานที่บ้านต่างจังหวัดแล้ว เพราะมีคนอื่นไปทำงานแทนแล้ว คุณแม่ถูกโยกย้ายไปสองสามจังหวัดกว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดในอีกสองสามปี ระหว่างนั้น ผมเป็นพี่ใหญ่ดูแลน้องๆ ทุกคนได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่เราทำอะไรใครไม่ได้เลย เพราะการร้องเรียนเป็นแค่บัตรสนเท่ห์ ไม่รู้ว่าเป็นใครจากไหน ครอบครัวเราต้องรับเคราะห์กรรมโดยถ้วนหน้า โดยเฉพาะคุณแม่ ที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ย้ายไปสองสามจังหวัด ลูกๆช่วยอะไรไม่ได้เลย และหลังจากกลับมาอยู่บ้านได้ปีเดียว คุณแม่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน ลูกสามในสี่คนไม่ได้อยู่เมืองไทย ไม่ได้เห็นหน้าคุณแม่เป็นครั้งสุดท้าย
บัตรสนเท่ห์ที่กล่าวหาคุณแม่ผมนั้น คงไม่ต่างจากคลิปที่ผู้ถ่ายกระทำในที่ลับ ไม่เปิดเผย แต่นำไปเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ผู้เสียหายในคลิปนั้น ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะไม่รู้จะไปแก้กับใคร ไม่มีหลักฐานตอบโต้ หรือถึงมีก็อาจทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะประชาชนที่เสพข่าว และกระพือข่าวนั้น ตัดสินแล้วคุณคือคนผิดเหมือนกับที่คุณแม่ผม ที่กลายเป็นคนผิดตามบัตรสนเท่ห์ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ความเสียหายที่เกิดขึ้นมหาศาลนี้ ไม่มีใครรับผิดชอบ การตั้งต้นชีวิตใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย สังคมตราหน้า คุณคือคนผิด
คนที่รู้ว่าไม่ผิด ก็คงมีแค่ตัวเองหรือคนไม่กี่คนรอบข้างที่เชื่อมั่นว่าไม่เป็นเช่นนั้น แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ บัตรสนเท่ห์ใบเล็กๆ ก็คงไม่ต่างกับคลิปสั้นๆไม่กี่วินาที ที่ผู้กระทำคงใช้เวลาไม่กี่นาทีในการทำเอกสารหรือตัดต่อคลิปเช่นว่านั้น แต่มันทำลายอนาคตของคนหลายคน ไม่ใช่เฉพาะคนที่ปรากฏในบัตรสนเท่ห์หรือในคลิปเท่านั้น
สิ่งที่ปรากฏในบัตรสนเท่ห์หรือในคลิปสั้นๆนั้น อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่การพิสูจน์ใช้เวลายาวนาน นับเดือนนับปี และถ้าจบลงว่า ผู้ที่ปรากฏในบัตรสนเท่ห์หรือในคลิปนั้นไม่ได้กระทำความผิดจริง จะมีใครรับผิดชอบเยียวยาอย่างไรหรือไม่
คนเป็นจำนวนมากจึงต้องตกเป็นเหยื่อ จะทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนาของผู้เผยแพร่ ก็ไม่มีใครรู้ได้ ผมจึงไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ชีวิตนี้ไม่มีวันลืม