ลงทุนแบบ 'พลเมืองโลก'

หลังเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจต่างๆ นานหลายเดือน ผมตัดสินใจบินกลับมาพักผ่อนช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นเมืองที่ผมอยู่อาศัยเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งค่อนปีในช่วง 2-3 ปีหลัง

พอเริ่มหายเหนื่อย ผมจึงมีโอกาสพิจารณาทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองในปี 2018 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป และต้องยอมรับว่านี่เป็นปีที่ 'ไม่ดี' เอาเสียเลย โดยผลตอบแทนที่ทำได้น่าจะต่ำกว่าปีที่แล้วเยอะมาก

นอกจากนี้ เท่าที่ได้เห็นในเฟซบุ๊กและพูดคุยกับเพื่อนฝูงนักลงทุนหลายคน ส่วนใหญ่ต่างก็บ่นอุบกับผลงานของตัว ได้ยินว่าแม้แต่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบแห่งวีไอไทย ยังยอมรับว่านี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ปีตั้งแต่ลงทุนมาที่พอร์ตของเขา 'ติดลบ'

สาเหตุหลักที่เป็นเช่นนี้ เกิดจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวลงมาเหลือไม่ถึง 1,600 จุด จากเมื่อต้นปีที่เคยพุ่งทะลุ 1,800 จุด และห่างจากเป้าหมาย 1,900-2,000 จุดที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนฟันธงไว้ชนิดคนละโลก

ทั้งนี้เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างหนักในรอบหลายเดือนหลัง โดย S&P 500 ร่วงลงกว่า 12% จากนิวไฮเมื่อเดือนกันยายน ทำให้หุ้นไทยซึ่งเป็นเพียงตลาดขนาดเล็กลดลงตามไปด้วย แม้ไม่เกิด 'วิกฤต' อย่างที่กลัว ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าอาจเข้าสู่ภาวะ 'ตลาดหมี'

ขณะที่ในเมืองไทยเราเอง หลายคนเคยคิดว่าเมื่อมีความชัดเจนเรื่องวันเลือกตั้ง ตลาดหุ้นน่าจะดีขึ้น แต่เอาเข้าจริง แม้ในช่วงที่ประกาศวันใหม่ๆ หุ้นจะขึ้นเยอะ แต่ถ้าลงไปดูถึงเนื้อใน จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นการซื้อโดย 'กองทุนในประเทศ' หาใช่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อไม่

นั่นแปลว่า ต่างชาติเขาไม่ได้ 'มองบวก' ต่อสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างที่หลายคนคิด มันคือความคิดของคนไทยด้วยกันเอง

การเลือกใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสมือน 'พลเมืองโลก' ทำให้ผมไม่มี 'หัวโขน' และตระหนักรู้อยู่เสมอว่า เราเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ในโลกใบนี้ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีแต่จะถูกพัดพาไปตามกระแสโลก

การจะประสบความสำเร็จในโลกของการลงทุนยุคโลกาภิวัตน์ได้นั้น จึงต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้างไกล ติดตามข่าวสารการเงินการลงทุนของประเทศอื่นๆ มองโลกให้ถ้วนทั่ว และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่าถูกฉุดรั้งด้วยประเทศที่อาศัยอยู่

นี่คือวิถีการลงทุนแบบ 'พลเมืองโลก' อันเหมาะสมอย่างยิ่งกับยุคสมัย