Minimalist กับชีวิตเป็นสุข
ถ้าท่านผู้อ่านรู้สึกรำคาญที่บ้านเต็มไปด้วยข้าวของรุงรังระเกะระกะ ตู้ก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้า ทั้ง ๆ ที่ใช้เพียงบางตัว
ห้องเก็บของก็อัดแน่นด้วยสิ่งของที่“ขาดไม่ได้” แถมมองไปที่ชั้นก็เต็มไปด้วยหนังสือที่บางเล่มไม่ได้แตะต้องมาเป็นสิบปีแล้ว ทั้งหมดนี้ท่านไม่รู้จะทำอะไรกับมัน ท่านไม่โดดเดี่ยวหรอก คนในโลกจำนวนมากเป็นเช่นเดียวกันจนปัจจุบันเกิดแนวคิดที่เรียกว่า minimalist ขึ้นและกำลังระบาดไปทั่ว
“minimalist”มาจาก“minimum”ซึ่งหมายถึงน้อยสุด ในตอนแรก minimalism หรือ ลัทธิจุลนิยม เกี่ยวกับศิลปะและการออกแบบซึ่งเน้นแต่แก่นไม่หรุ้งฟริ้งฟุ่มเฟือย แต่ปัจจุบันกลายเป็นแนวคิดของการดำรงชีวิต
Minimalists มักเป็นคนที่แปรเปลี่ยนจากการเคยเป็นผู้นิยมแฟชั่นมีของแบรนด์เนมมากมาย ไม่ว่ารองเท้า กระเป๋า เมื่อเริ่มมีเงินหรือเริ่มสร้างหนี้ได้ก็มีสมบัติมากขึ้นเป็นเงาตามตัว กว่าจะรู้ตัวก็มีเสื้อเป็น 100 ชุดมีกางเกงรองเท้า กระเป๋าจนจำไม่ได้ minimalist ที่แปรร่างไปจะมีเสื้อผ้านับชิ้นได้ มีของใช้เท่าที่จำเป็นจนบ้านว่างเป็นระเบียบและจิตใจก็ว่างเบาขึ้นด้วย
Minimalism เป็นปรัชญาของการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ยิ่งมีน้อยเท่าใดก็ยิ่งมีความสุขเพียงนั้น จิตใจสบายไม่กังวล ความสะอาดและความเป็นระเบียบทำให้จิตใจเป็นสุขด้วยแต่มันไปโป่งที่บัญชีเงินออม โดยหาความสุขจากชีวิตอีกแนวหนึ่งที่คล่องตัวและไร้กังวลกับสิ่งของมีค่า
Minimalistsแต่ละคนก็มีสไตล์การดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บางคนก็ทิ้งเสื้อผ้าทิ้ง“สมบัติบ้า” (ของเล่นสมัยเด็กสิ่งของแห่งความทรงจำกับผู้คนอื่นๆ ของที่เคยใช้และคิดว่า “ขาดไม่ได้”)เหลือไว้แต่หนังสือ บ้างก็ทิ้งหมดจนบ้านและครัวว่างโล่ง บ้างก็ไปอยู่บ้านหรือคอนโดขนาดเล็กลงบ้างก็ไม่มีรถยนต์โดยหันมาใช้รถสาธารณะแทนตามแต่รสนิยมของแต่ละคนหรือของแต่ละครอบครัว
สิ่งที่ทุก minimalists มีเหมือนกันก็คือ สิ่งของนอกกายน้อยลงบ้านมีความเป็นระเบียบและสะอาดมากขึ้น โดยการมีวัตถุประสงค์ในการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย ไม่สร้างภาระให้ตนเองและผู้อื่น
ในโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ คนรุ่นใหม่ในจีนและเกาหลีใต้ แนวคิดminimalistsกำลังแพร่กระจาย หนังสือสองเล่มที่ได้รับความนิยมมากคือ“The Life Changing Magic of Tidying Up” (2011) โดยนักเขียนญี่ปุ่นMarie Kondo ขายได้เป็นล้านๆเล่มทั่วโลก(แปลเป็นภาษาไทยแล้ว)กับ“Minimalism in Real Life : 4½ Practical Steps Towards a Meaningful Life” (2019) เขียนโดยJeffery Gow นักเขียนชาวอเมริกันกำลังได้ความนิยมเช่นกัน
เล่มแรกนั้น Marie Kondo ผู้ปัจจุบันมีอายุเพียง35ปีหรือรู้จักกันในชื่อKonmari เน้นแนวคิดของ ชินโต(Shinto) กล่าวคือการจัดการให้ทุกสิ่งเป็นระเบียบและสะอาดคือแนวปฏิบัติอันนำไปสู่การพัฒนาจิตใจและการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
เธอแนะนำการให้คุณค่าแก่สิ่งที่มีคุณค่าให้ดูแลมันเป็นอย่างดีโดยไม่ขึ้นอยู่กับมูลค่า เมื่อพิจารณาแต่ละชิ้นแล้วจึงจะเห็นเองว่าสิ่งใดควรแก่การเก็บรักษาไว้ เธอออกรายการโทรทัศน์ในสหรัฐและเดินทางให้คำแนะนำที่ปฏิบัติได้จริงไปทั่วโลก จนปัจจุบันมีหนังสือขายดีออกมารวม4เล่ม
Kondo มีประวัติชีวิตที่แปลกมาก เธอบอกว่าตอนเป็นเด็กเธอชอบใช้เวลาอยู่กับการทิ้งของที่เห็นว่าไม่เหมาะโดยเฉพาะจริงจังกับการจัดหนังสือมากครั้งหนึ่งเป็นลมไปสองชั่วโมงและได้ยินเสียงลึกลับบอกว่าให้พิจารณาดูสิ่งของต่างๆให้ดีกว่านี้ เธอจึงเข้าใจความผิดพลาดของตัวเธอทันที กล่าวคือเธอมองหาแต่สิ่งที่จะทิ้งแต่สิ่งที่ควรทำก็คือมองหาสิ่งที่เธอต้องการเก็บไว้ การแยกสิ่งของที่ทำให้มีความสุขจากสิ่งของอื่นๆคือหัวใจของการจัดบ้านให้เป็นระเบียบ
สำหรับเล่มที่สองนั้น Gow ให้คำแนะนำดังต่อไปนี้ (1)การจะมีชีวิตที่มีคุณค่านั้นมีได้เพียงครั้งเดียวเพราะมีชีวิตเดียว ต้องตั้งไว้เป็นอุดมการณ์ อย่าเป็นทาสของบริโภคนิยมและทาสของการตลาดมิฉะนั้นจะซื้อของเกินจำเป็น (2)แยกของที่มีอยู่รุงรังเป็น (ก)ของมีประโยชน์ต้องใช้อยู่ ทุกวัน (ข)ของที่มีความหมายทางจิตใจ (ค)ของเล็กๆน้อยๆน่ารัก (ง)สิ่งที่เหลือจากข้างต้นคือขยะ ทำไปทีละห้องโดยเป้าหมายคือเหลือเฉพาะข้อ(ก)
(3)จินตนาการว่าหากเกิดไฟไหม้หรือน้ำท่วมทำลายของที่มีความหมายทางจิตใจจนหมดแล้วจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ คำตอบคือได้ ดังนั้นควรถ่ายรูปสิ่งของเหล่านี้ไว้ให้ดีเพื่อให้เตือนนึกถึงความหลังและโยนสิ่งของเหล่านี้ทิ้งไปเพราะภาพเตือนให้นึกถึงความหลังได้เช่นกัน
(4)คิดคำนวณว่ามนุษย์คนหนึ่งต้องใช้ของแต่ละชิ้นมากมายเพียงใดในชีวิตเมื่อถึงจุดนี้ก็จะเหลือข้อ (ก)ให้พิจารณาเลือกว่าจะเป็นminimalistสไตล์สุดโต่งเพียงใด
“เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นที่รู้จักกันก่อนหนังสือ2เล่มนี้ ออกมาสามารถนำมาประยุกต์กับปัญหาที่สองนักเขียนเสนอได้เป็นอย่างดี minimalistสไตล์ “พอควร” “ไม่ประมาท” “พึ่งตนเอง”ให้ความกว้างและความคล่องตัวในทางความคิดมากกว่า
แนวคิดminimalist สอดคล้องกับข้อเขียนของผู้เขียนในคอลัมน์นี้ที่มีชื่อว่า “จัดบ้านก่อนตาย” เมื่อ2ตุลาคม2561 (ดูได้ที่varakorn.comไปที่“ข้อเขียนจากกรุงเทพธุรกิจ”) ซึ่งนำแนวคิดจากหนังสือชื่อThe Gentle Art of Swedish Death Cleaning (2018)โดยMargaret Magnussonมาขยายความ
Minimalism ให้ข้อเตือนใจในเรื่องการไม่สะสมสิ่งของจนล้นบ้าน เป็นภาระแก่คนอยู่ข้างหลังและทำให้กังวลเพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าคนอื่นๆ เขาจะ“ใยดี”กับสิ่งของที่ตนรักสะสมไว้เมื่อตนเองได้จากไปแล้วอย่างไร
ประการสำคัญที่สุดก็คือการมีสมบัติมากและบริโภคมากคือการทำร้ายโลกทางอ้อมด้วยการใช้ทรัพยากรและสร้างขยะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อสามารถอยู่ได้และมีความสุขได้ด้วยความจำกัดแล้วจักเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามทำไมให้เป็นภาระแก่คนอื่นและโลกเล่า