แบตเตอร์รี่ลิเธียม-ไอออน โอกาสประเทศไทย
รางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2019 ที่มอบให้แก่นักวิทยาศาสตร์สามคนที่พัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียม
ได้แก่ John B. Goodenough, M. Stanley Whittingham และ Akira Yoshino เป็นเสมือนตรารับรองความสำคัญของการพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ราชบัณฑิตยสถานด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนให้เหตุผลว่า แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนได้ปฏิวัติชีวิตของมนุษย์และเป็นฐานรากของสังคมที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งนี้เพราะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีน้ำหนักเบา และทรงพลัง สามารถสนับสนุนการใช้งานแบบไร้สายได้หลากหลาย ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงการจัดเก็บไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างลมและแสงอาทิตย์
อุตสาหกรรมแบตเตอรี่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในรถยนต์ไฟฟ้าและสาขาพลังงาน หน่วยงานวิจัยของสหภาพยุโรปคาดการณ์ว่า ในปี 2040 มูลค่าตลาดแบตเตอรี่โดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.5 หมื่นล้านยูโรในปัจจุบัน
การเติบโตดังกล่าวทำให้ผู้เล่นรายใหม่ๆ อยากเข้ามาผลิตแบตเตอรี่ ทั้งกลุ่มที่ข้ามมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ และผู้ผลิตหน้าใหม่จากสหรัฐฯ เยอรมนี และประเทศกำลังพัฒนาแถวหน้ารวมถึงไทย
ไทยเริ่มต้นผลิตแบตเตอรี่สำหรับขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2562 ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ไทยมีอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนในประเทศอยู่แล้ว รวมทั้งนโยบายสนับสนุนการลงทุนแบบมีเงื่อนไข กล่าวคือ ถ้าผู้ผลิตรถยนต์อยากได้สิทธิประโยชน์สนับสนุนโดยเฉพาะส่วนลดภาษีสรรพสามิต ก็ต้องพ่วงการผลิตแบตเตอรี่มาด้วย ซึ่งมูลค่าโครงการลงทุนแบบแพ็คเกจทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ของผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท (ยอดสะสมถึงธันวาคม พ.ศ.2561)
การผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจะช่วยรักษาขีดความสามารถของไทยในการแข่งขันกับฐานการผลิตรถยนต์อื่นๆ เนื่องจากในอนาคตแบตเตอรี่จะเข้ามาแทนที่เครื่องยนต์ในฐานะส่วนประกอบที่มีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุดของการผลิตรถยนต์
นอกจากนี้ แบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานในโครงข่ายไฟฟ้า ยังจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งระบบการผลิตไฟฟ้าแบบเดิมและการเพิ่มส่วนร่วมของพลังงานทดแทนในระบบการผลิตไฟฟ้า โดยจะช่วยให้ผู้ผลิตไฟฟ้าประหยัดต้นทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าสำหรับช่วงพีค (peak shaving) รักษาเสถียรภาพ (frequency regulation) และช่วยให้พลังงานทดแทนที่มีความผันผวน (intermittency) สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพได้มากขึ้น
การผลิตแบตเตอรี่ในประเทศแทนการนำเข้า จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคการผลิต แม้ว่าไทยจะไม่มีทรัพยากรต้นน้ำหรือแหล่งแร่สำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ แต่มูลค่าเพิ่มของการผลิตแบตเตอรี่สามารถเกิดขึ้นได้ในการผลิตขั้นกลางน้ำและปลายน้ำ งานศึกษาของ Clean Energy Manufacturing Analysis Center (CEMAC) พบว่า การผลิตเซลล์และประกอบแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์
แต่ปัจจุบันการใช้งานแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานสำหรับโครงข่ายไฟฟ้าในไทยยังไม่แพร่หลาย ส่วนใหญ่เป็นเพียงโครงการนำร่องทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งทุกโครงการนำเข้าแบตเตอรี่มาจากต่างประเทศทั้งหมด
จึงไม่แปลกที่โครงการลงทุนเพื่อผลิตในประเทศมีอยู่เพียง 5 โครงการเท่านั้น ขนาดตลาดในประเทศที่ยังคงเล็กมาก เป็นเหตุผลสำคัญให้ผู้ผลิตบางรายหันมองไปที่ตลาดส่งออกในอาเซียน หรือไปเน้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าก่อนโครงข่ายไฟฟ้า
งานศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันการลงทุนใช้งานแบตเตอรี่สำหรับโครงข่ายไฟฟ้าตลอดห่วงโซ่การผลิตไฟฟ้า ตั้งแต่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และผู้ใช้ไฟฟ้า ยังไม่คุ้มค่า เนื่องจากผลตอบแทนจากการใช้งานยังน้อยกว่าต้นทุน
เพื่อเพิ่มความคุ้มค่าให้เกิดขึ้น ควรมีการส่งเสริมการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับโครงข่ายไฟฟ้า โดยนโยบายภาครัฐสามารถช่วยสร้างแรงจูงใจและหนุนเสริมกลไกตลาด ในส่วนของมาตรการระยะสั้น ควรให้การอุดหนุนชั่วคราวสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานขนาดเล็ก (behind-the-meter) และลดอัตราการอุดหนุนตามแนวโน้มของต้นทุนของเทคโนโลยีซึ่งถูกลงเรื่อยๆ
ในส่วนของมาตรการระยะยาว ควรทบทวนอัตราการขายปลีกไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยตามช่วงเวลาที่แท้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะในอนาคตเมื่อมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ซึ่งพีคไฟฟ้าเปลี่ยนจากช่วงเวลากลางวันเป็นเวลากลางคืนแทน ในขณะเดียวกัน ควรพิจารณาทบทวนอัตราภาษีสรรพสามิตที่สอดคล้องกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดต้นทุนภาษีของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าแบตเตอรี่ตะกั่วแบบเดิมมาก เป็นต้น
เพื่อการส่งเสริมการผลิตและการใช้งานในประเทศ รัฐบาลควรพิจารณาให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) และการนำแบตเตอรี่ไปใช้งานร่วมกับระบบการใช้และผลิตพลังงานอื่น (ESS integration) ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าจากการผลิตแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เป็นต้น
การผลิตและใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน จึงสามารถเป็นโอกาสของทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคพลังงานของไทย หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม