3 เรื่องที่ต้องระวังในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น
ในยุคที่มีการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางต่างๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี ว่านักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทันท่วงที
โดยไม่ได้ช้าไปกว่านักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ แต่การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วทำให้มีข้อมูลในปริมาณมากจนเกินไป ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องรู้จักการตีความวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น วันนี้ผมขอยกตัวอย่างเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการวิเคราะห์กัน
เรื่องแรกที่ต้องระมัดระวังคือการวิเคราะห์ Fund Flow ของต่างชาติรายวัน การเข้าถึงข้อมูลสรุปสิ้นวันตรงนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนมักจะนำมาวิเคราะห์กันเป็นรายวันเพื่อสรุปว่าต่างชาติมีมุมมองอย่างไรกับหุ้นไทย นักลงทุนต้องระมัดระวังอย่างมากในการใช้ข้อมูลตรงนี้ด้วยความถี่รายวัน ตัวอย่างเช่น สิ้นวันเห็นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมูลค่าสูงมาก นักลงทุนไม่ควรด่วนสรุปทันทีว่าต่างชาติมองหุ้นไทยไม่ดีเลยขายออกมา ในบางครั้งยอดขายสุทธิบนหุ้นสิ้นวัน อาจเกิดขึ้นควบคู่กับยอดซื้อสุทธิสิ้นวันของนักลงทุนต่างชาติบนกระดาน TFEX (สัญญา SET50 หรือ Single Stock Futures) ก็เป็นได้ เพราะนักลงทุนต่างชาติต้องการทำ Aribitrage หรือ Hedging ระหว่างกระดานหุ้นและTFEX โดยที่จริงๆแล้วไม่ได้มีมุมมองขึ้นหรือลงกับหุ้นไทยเลย ซึ่งประเด็นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นมากเรื่อยๆ เนื่องจากในปัจจุบันพอร์ตลงทุนต่างประเทศที่มีการเทรดกลยุทธ์พวกนี้เป็นที่นิยมมากขึ้น การวิเคราะห์ Fund Flow ของต่างชาติควรดูข้อมูลรอบๆหลายๆอย่าง เช่น ค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร หรือนักลงทุนที่ต้องการดูยอดขายหุ้นสุทธิเท่านั้นก็ควรจะดูข้อมูลเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวขึ้นเป็นรายสัปดาห์มากกว่าการดูเป็นรายวัน นอกจากนั้นความเชื่อที่ว่ากองทุนต่างชาติมีการปรับเปลี่ยนมุมมองหุ้นไทยเป็นรายวันอาจจะขัดแย้งกับนโยบายการลงทุนของกองทุนส่วนใหญ่ที่มักจะเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเทรดรายวัน
เรื่องที่สองคือ การวิเคราะห์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้วยความเชื่อว่า มีนักลงทุนรายใหญ่หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถผลักดันราคาขึ้นลงได้ การที่นักลงทุนมีความเชื่อตรงนี้ทำให้ไปให้ความสำคัญกับรายใหญ่ และไปให้ความสำคัญกับลักษณะและปริมาณการวาง Bid Offer ของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าบนกระดาน TFEX จนมากเกินไป โดยมีความเชื่อที่ว่ามีรายใหญ่คุมราคาอยู่ โดยปกติแล้วราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นอ้างอิงกับดัชนีหรือหุ้นอ้างอิงในกระดานหุ้น การผลักดันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจึงเป็นไปไม่ได้เลยตราบใดที่ดัชนีหรือราคาหุ้นไม่ได้ขยับไปไหน ตัวอย่างเช่น SET50 Futures อาจมีราคาที่แกว่งตัวแรงกว่าดัชนี SET50 บ้างขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ SET50 Futures ก็จะวิ่งขึ้นลงควบคู่ไปกับดัชนี SET50 เสมอ
เรื่องต่อมาคือ การที่นักลงทุนเชื่อว่าการซื้อขาย Single Stock Futures Block-Trade เป็นเครื่องมือผลักดันราคาหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้มีนักลงทุนหลายๆท่านให้ความสำคัญกับข้อมูล Open Interest (OI) หรือยอดคงค้างของสัญญาสิ้นวันอย่างละเอียด เพื่อใช้อ้างอิงในการเทรดตามนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการเปิดสัญญา SSF Block-Trade จริงๆแล้วในปัจจุบันธุรกรรม SSF Block-Trade เป็นที่นิยมกันมากในนักลงทุนหลากหลายประเภท ทำให้ OI ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่ละวันนั้นส่วนมากแล้วจะไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือสะท้อนมุมมองราคาหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่ได้อย่างที่คิดกัน หรือถ้าจะใช้ OI เพื่อการวิเคราะห์จริงๆ นักลงทุนควรดูข้อมูลเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนประกอบการวิเคราะห์มากกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายวัน และให้ความสำคัญเฉพาะการเพิ่มหรือลดของ OI ที่มีนัยสำคัญเท่านั้น
การติดตามข้อมูลอย่างละเอียดถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องปรับตัวให้ได้กับปริมาณข้อมูลที่เข้ามาเป็นจำนวนมากและจะมากขึ้นไปอีกในอนาคต คือความเข้าใจถึงที่มาของข้อมูล และนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องอย่าลืมว่าการทำกำไรในตลาดหุ้นนั้นสุดท้ายแล้วการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของหุ้นและสภาพตลาดเป็นสิ่งควรให้ความสำคัญที่สุด