“การประกันชีวิตดีหรือไม่และมีกี่รูปแบบ”
สวัสดีครับพบกับประกันภัยเรื่องใกล้ตัวกันเช่นเคยนะครับ มีคำถามมาครับว่าการประกันชีวิตนั้นคืออะไร มีกี่แบบ เราจะมาเรียนรู้ เรื่องการประกันชีวิ
คำถาม : อยากรู้ว่า “การประกันชีวิตดีหรือไม่/มีกี่รูปแบบ”
คำตอบ: การประกันชีวิต หมายถึง การประกันภัยที่มุ่งให้การคุ้มครองต่อการเสียชีวิตหรือการยังมีชีวิตอยู่ของบุคคลหรือการอาศัยการทรงชีพของผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญในการกำหนดสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามสัญญา ซึ่งมีกฎหมายรองรับคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันชีวิต 2551 โดยการประกันชีวิตจะมีอยู่ 4 แบบหลัก ดังนี้ครับ
1.การประชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) เป็นแบบที่ให้การคุ้มครองกรณีการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยที่มีระยะเวลาที่ให้การคุ้มครองนานที่สุดคือถึงอายุ 99 ปีหากผู้เอาประกันภัยไม่เสียชีวิตก็จะได้รับเงินเอาประกันชีวิตตามที่กำหนดไว้ในสัญญานั้นคืนส่วนจะมีการกำหนดให้ส่งเบี้ยประกันชีวิตเป็นระยะเวลาเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ในสัญญาเช่น จ่ายเบี้ยประกันชีวิตเป็นเวลา 10 ,15 , 20,30 ปี คุ้มครองตลอดชีพ ก็หมายถึงผู้เอาประกันภัยมีภาระที่ต้องส่งเบี้ยประกันชีวิตตลอด 10 ปี หรือ 15 ปี แล้วแต่ ซึ่งภาระการส่งเบี้ยประกันชีวิตจะหมดลงเมื่อครบกำหนดแต่ความคุ้มครองนั้นจะให้การคุ้มครองต่อไปจนถึงผู้เอาประกันภัยมีอายุ 99 ปีก็จะได้รับเงินเอาประกันชีวิตคืนซึ่งเงินเอาประกันชีวิตที่ว่านี้ก็มาจากเงินต้นที่เราต้องส่ง (เบี้ยประกันชีวิต) บวกด้วยอัตราดอกเบี้ยตามกรอบเวลาและกติกาที่จะให้การคุ้มครองซึ่งเรียกว่า เรียกว่าเงินเอาประกันชีวิต อันหมายถึงจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับตามสัญญา แต่หาก ในระหว่างการส่งค่าเบี้ยประกันชีวิตอยู่นั้นผู้เอาประกันเสียชีวิตก่อนจะส่งเบี้ยครบ (ต้องส่งเบี้ยเกินกว่า 2-3 ปี) หรือส่งเบี้ยจนครบแล้วแต่มาเสียชีวิตจำนวนเงินเอาประกันชีวิตนั้น ผู้รับผลประโยชน์ที่ถูกกำหนดไว้ในสัญญาก็จะเป็นผู้รับเงินเอาประกันชีวิตนั้น ส่วนรายละเอียดของสัญญาของแต่ละบริษัทอาจมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของระยะเวลาที่ต้องส่งเบี้ยหรือจำนวนเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินเอาประกันชีวิต การประกันชีวิตแบบนี้จึงเป็นการประกันชีวิตแบบมีเงินคืนผู้เอาประกันหากผู้เอาประกันชีวิตนั้นมีอายุยืนอยู่ครบตามสัญญา
2.การประกันชีวิตแบบเฉพาะกาล(Term Life Insurance) เป็นประกันภัยแบบที่ให้การคุ้มครองกรณีการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัยที่มีการกำหนดระยะเวลาทั้งเรื่องของการส่งเบี้ยประกันชีวิตและเงินเอาประกันชีวิต ซึ่งจะไม่ได้มีระยะเวลาที่ยาวนานเหมือนการประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่กล่าวไว้ในแบบแรก โดยการประกันชีวิตแบบมีกำหนดระยะเวลาที่นี้เป็นแบบที่ไม่มีเงินคืนให้ผู้เอาประกันชีวิตนะครับหากครบกำหนดตามระยะเวลาที่คุ้มครองแล้วผู้เอาประกันชีวิตยังมีชีวิตอยู่ ตัวอย่างเช่น นายสมชาย (ชื่อสมมติ) ทำประกันชีวิตแบบ 5/10 โดยสัญญากำหนดว่านายสมชายต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตปีละ 10,000 บาท ระยะเวลาในการส่งเบี้ยประกันชีวิตเป็นเวลา 5 ปี ระยะเวลาในการคุ้มครองจำนวน 10 ปี จำนวนเงินเอาประกันชีวิต 100,000 บาท กรณีตัวอย่างนี้คุณสมชายก็มีภาระที่ต้องส่งเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต ทุกปีๆละ 10,000 บาท ตั้งแต่ปีที่ 1,2,3,4 จนถึงปี 5 ซึ่งเมื่อครบแล้วปีที่ 6 เป็นต้นไปคุณสมชายก็ไม่ต้องส่งค่าเบี้ยแล้ว แต่กรมธรรม์จะยังคงให้การคุ้มครองอยู่โดยจะให้การคุ้มครองอีกเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเมื่อรวมกับปีแรกที่เราส่งเบี้ยไปแล้ว 5 ปี ก็จะเท่ากับ 10 ปีตามความหมายของการคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบเฉพาะกาลนี้ เมื่อครบกำหนดการคุ้มครองตามสัญญาแล้วคุณสมชายไม่ได้เสียชีวิตเงินค่าเบี้ยที่คุณสมชายส่งไปก็จะไม่มีการคืนมาแต่อย่างใด ...แต่ หากคุณสมชายได้ส่งเบี้ยประกันชีวิตมาได้ 3 ปี แล้วประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต กรณีอย่างนี้บริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินเอาประกันชีวิตจำนวน 100,000 บาท ให้กับผู้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุเอาไว้ในสัญญา (ตัวเลขสมมตินะครับ) ดังนั้นการประกันชีวิตแบบนี้ส่วนใหญ่จะจ่ายเบี้ยจำนวนน้อยแต่ใจให้การคุ้มครองสูงหากเสียชีวิตก่อนระยะเวลา โดยแบบการประกันชีวิตแบบเฉพาะกาลนี้ไม่ค่อยมีคนนิยมเท่าไรมีคนทำแบบนี้น้อยกว่าแบบอื่นๆ
3.การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์(Endowment Insurance) การประกันชีวิตแบบนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมเนื่องจากเป็นการให้การคุ้มครองกรณีเสียชีวิตแล้วยังมีการสะสมหรือออมทรัพย์ไปด้วย ซึ่งเป็นการประกันชีวิตแบบมีเงินคืนระหว่างทาง และ/หรือเมื่อครบกำหนดสัญญาซึ่งจะมีการกำหนดระยะเวลาในการคุ้มครองที่แน่นอนเอาไว้โดยจะไม่ยาวนานเหมือนแบบตลอดชีพแต่ก็จะไม่สั้นจนเกินไป ซึ่งจะมีทั้งแบบที่ต้องจ่ายเบี้ยทุกปีตามระยะเวลาที่ให้การคุ้มครองหรือบางแบบก็มีการกำหนดระยะเวลาชำระเบี้ย กับระยะเวลาในการคุ้มครองคล้ายกับการประกันชีวิตแบบเฉพาะกาล การประกันชีวิตในรูปแบบนี้จึงเป็นที่นิยม ทำให้บริษัทประกันภัยมีการพัฒนารูปทางเลือกให้กับผู้เอาประกันชีวิตมากขึ้นซึ่งต้องศึกษาเพิ่มเติมทางก้าวทันประกันภัย ไม่สามารถเอาแต่ละกรมธรรม์ของบริษัทประกันชีวิตมาอธิบายได้จึงขอเพียงเอาแบบหลักๆ สี่แบบนี้มานำเสนอเป็นสำคัญ
4.การประกันชีวิตแบบมีรายได้ประจำ (Annuity Insurance) หมายถึง การประกันชีวิตที่มีลักษณะคล้ายๆ กับเงินบำเหน็จบำนาญของระบบราชการ เนื่องจากการประกันชีวิตในรูปแบบนี้เป็นหลักประกันอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับราชการ หรือ อาจรับราชการแต่ต้องการสร้างหลักประกันให้มั่นคงแข็งแรงก็สามารถทำประกันชีวิตแบบมีรายได้ประจำนี้ได้เช่นกัน การประกันชีวิตแบบนี้จึงมุ่งเน้นไปในเรื่องของการออมทรัพย์ไว้ยามเกษียณมากกว่าการคุ้มครองกรณีการเสียชีวิต และก็อย่างที่บอกนะครับว่าบริษัทประกันชีวิตมีจำนวน 24 บริษัท เงื่อนไขกรมธรรม์อาจมีการเพิ่มเติมแตกต่างกันไป จึงต้องอ่านและทำความเข้าใจในกรมธรรม์ประกันภัยให้ชัดเจนนะครับ
นอกจากแบบกรมธรรม์ประกันชีวิตหลักทั้ง 4 แบบซึ่งจะเป็นการประกันภัยที่มีระยะเวลามากกว่าหนึ่งปีหรือมีระยะเวลาที่ยาวกว่าการประกันวินาศภัยที่เป็นแบบปีต่อปี ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องความคุ้มครองกรณีการเสียชีวิตเป็นสำคัญซึ่งในระหว่างปีหรือในแต่ละปีนั้นผู้เอาประกันภัยอาจมีการเจ็บไข้ได้ป่วยมีอุบัติเหตุแต่ไม่ได้เสียชีวิต ทางผู้เอาประกันภัย ก็สามารถทำประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเพิ่มเติมแนบสัญญาหลักได้ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองกรณีการบาดเจ็บและหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยเพิ่มเติมจากกรมธรรม์หลักได้อีก แต่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลนี้เพิ่มเติมนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นการประกันชีวิตทั้งสี่แบบที่นำมาตอบคำถามเกี่ยวกับประกันภัยเรื่องใกล้ตัวในครั้งนี้ครับ