โรค 'โควิดทางการเมือง'ระบาดหนัก
ผู้ชุมนุมที่ถูกแจ้งข้อหาและจับกุมตัว มีสิทธิได้รับการคุ้มครองด้านสุขภาพโดยเฉพาะจากไวรัสโควิด 19
หนึ่งเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลใช้ข้อกฎหมายในภาวะปรกติมากมายหลายข้อมาดำเนินคดี จนถึงขณะนี้ประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในกรุงเทพมหานคร ขอรัฐบาลอย่าได้ปล่อยให้เกิดความสะเพร่าใดๆเรื่องสุขภาพและชีวิต อย่าได้ลืมบทเรียนกรณีกรือแซะ
น่าจะได้มีการคัดกรองตรวจไวรัสโควิด 19 ผู้ถูกจับกุมทุกคนในขณะถูกจับกุมและควบคุมตัวไว้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของทุกฝ่ายและป้องกันความยุ่งยากอันอาจเกิดได้ในอนาคต
จะต้องมีมาตรการป้องกันมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาในการจับกุมผู้ชุมนุม เช่น เข้าใกล้ตัวกัน แล้วอุ้มบ้าง ประคองขึ้นรถไปบ้าง นำไปรวมกันควบคุมไว้ที่ตรงนั้นตรงนี้ บ้างถูกนำตัวจากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่ง จะเป็นความสูญเสียซ้ำเติมหากมีใครทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ถูกจับกุมต้องติดเชื้อโควิด 19 ขึ้นมา
นอกจากนั้น ใช่ว่าจากที่เรารอดการระบาดระลอกแรกได้อย่างสวยงามนั่งแท่นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว และท่ามกลางหลายประเทศที่ต้องล็อคดาวน์ติดเชื้อระลอกสองในขณะนี้เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย เมียนมาฯ เราจะรอดอย่างสวยงามได้อีกโดยเฉพาะการติด "โควิดทางการเมือง"
"โควิดทางการเมือง" ที่ระบาดทั่วโลกอยู่ขณะนี้คือมีผู้นำรัฐบาลมากมายในทุกซีกโลกทำตัวเป็น "อีแอบ" อ้าง "โควิด 19" ใช้อำนาจรัฐทุกทางจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยจนเกินเหตุในการบริหารบ้านเมือง ใน 80 ประเทศมีเพียงมาลาวีประเทศเดียวที่สิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยดีขึ้นเทียบกับก่อนโควิด 19 ( ดูรายงานใน The Economist 17 ตุลา 2020 )
สภาพที่เลวลงนั้นต่างกันตามสภาพเดิมของประเทศ ที่ภาวะประชาธิปไตยไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อาการ "อีแอบ" ก็หนักหนา เช่น ประธานาธิบดียูกันดา ปรามส.ส.พรรคฝ่ายค้านที่แจกอาหารคนหิวโหยช่วงล็อคดาวน์โควิด19 ขนาดใช้มอเตอร์ไซค์ส่งอาหารตามบ้านเลี่ยงการออกมาออกัน เขาก็ยังถูกจับกุมคุมขังอยู่ดี
ประธานาธิบดีโมดิของอินเดียก็ใช้โอกาสนี้รวบอำนาจในรัฐสภาผ่านกฎหมายไปตามใจชอบ 25 ฉบับ นอกจากลิดรอนสิทธินักการเมือง ประชาชนทั่วไป บรรดาสื่อก็จะโดนด้วย เช่นใน 38 ประเทศแล้วก็เพิ่มอีกเท่าตัวในเวลาสั้นๆ
แต่ก็ใช่ว่ามีแต่ฝ่ายรัฐบาลที่ติด "โควิดทางการเมือง" ฝ่ายประชาชนก็พอกัน คือเป็น "อีแอบ" อ้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายเบื้องลึกอื่น ๆ ตามเงื่อนไขสถานภาพประโยชน์เฉพาะกลุ่มเฉพาะตน จากข้อเรียกร้องหนึ่งไปอีกข้อเรียกร้องหนึ่ง ลดทอนเพิ่มไปตามสถานการณ์ตามแบบจรยุทธ์เดิม ๆคือ เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าต่อย เอ็งถอย ข้าตาม อีกทั้งการรุกการรับทำท่าจะเข้าสมการ ยิ่งแรงมายิ่งแรงไป แอ็คชั่นเท่ากับรีแอ็คชั่น
เพียงแต่โลกวันนี้มีสิ่งหนึ่งต่างไปจากจรยุทธ์แบบเดิมสมัยยังมีการข่าวการปลุกระดมแบบบ้านๆอย่างเก่งแค่วิทยุ ไม่มีสงครามไซเบอร์ซึ่งโลกสมัยนี้การต่อสู้ทางการข่าวการปลุกระดมทางไซเบอร์ดำเนินได้ตลอดเวลามาตั้งแต่ก่อนวันม็อบ 'แตก' ลงถนน และสามารถเพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้นทุกขณะจิตไม่ว่า เอ็งจะมาหรือไม่มา เอ็งหยุดหรือเอ็งถอย
สงครามไซเบอร์นี่แหละสำคัญนัก รัฐบาลอเมริกาและจีนทำมาตั้งนานแล้วเรื่องปิดช่องทางสื่อสารทางไซเบอร์
อีกอย่างในบ้านเราคู่ขัดแย้งชูสามนิ้วขณะนี้ไม่ได้มีเป้าเฉพาะ "ผู้ปกครอง" ในสถาบันการเมืองการปกครองการทหาร สถาบันกษัตริย์สถาบันศาสนา แต่ลงลึกในชีวิตการงานและสายสัมพันธ์สังคมระดับบุคคลทั่วไปด้วยที่ยังอยู่ในระบบอุปถัมภ์ เช่น ลูกจ้างกับนายจ้าง นักเรียนกับครู หรือแม้กระทั่ง สามีภรรยา ลูกกับพ่อแม่ คู่สายสัมพันธ์ "ผู้ใหญ่กับผู้น้อย"ของเราในวันนี้กำลังเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ตามแนวคิดสิทธิเสมอภาคประชาธิปไตย จึงต้องช่วยกัน "เปลี่ยน" ให้ "ผ่าน" ได้ดี ๆ ไม่ใช่แตกหักพังกันไปทั้งสองข้าง
ที่ชอบตำหนิม็อบกันนักว่า "ทำไมพ่อแม่ไม่สั่งสอน " ก็โปรดรับทราบด้วยว่าเมื่อเข้าไปสัมผัสม็อบ เยาวชนจำนวนหนึ่งที่ชูสามนิ้วมีพ่อแม่ที่เห็นด้วย บ้างไม่เห็นด้วยแต่บอกว่า "ชีวิตของลูก อนาคตข้างหน้าของประเทศเป็นของลูก ไม่ห้ามไม่หนุน" พ่อแม่บางกลุ่มไปชูสามนิ้วร่วมกับลูกด้วย นี่คือการเปลี่ยนที่ผ่านไปแล้วระหว่างคู่พ่อแม่กับลูกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่รู้มีเท่าไร
อีกอย่างหนึ่ง ม็อบเรือนหมื่นชุมนุมในช่วงกันยาตุลานี้มีมาหลายรอบแล้วและยังจะมีต่อไป แต่ดูเหมือนว่าคนมากมายจากหลายและข้ามพื้นที่มาชุมนุมกันติดต่อ 5-12 ชั่วโมงยังปลอดภัยกันดีอยู่ ยังไม่มีรายงานว่าเกิดการติดเชื้อในกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
กระทรวงสาธารณสุขต้องหาคำอธิบายให้ได้และให้ดีกับปรากฏการณ์ดีๆ อย่างนี้ มิฉะนั้น จะพากันการ์ดตกระเนระนาดเพราะไม่เห็นมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นภายในไทยเนื่องจากการชุมนุมของคนเรือนหมื่นใกล้ชิดกันหลายครั้งหลายคราออกอย่างนั้น
กระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ที่ทางการได้เตรียมมาค่อนข้างดีโดยตลอด เช่น การไม่ติดอาวุธตำรวจที่เผชิญหน้าผู้ชุมนุมซึ่งก็ไร้อาวุธ การแจ้งข้อหาการจับกุมกระทำโดยไม่ละเมิดสิทธิ ฯ ความถูกต้องทั้งหลายต้องเคร่งครัด และต้องสื่อสารทันการณ์กับคนในประเทศและสื่อต่างประเทศ
ควรยกเลิกโดยเร็วที่สุดมาตรการประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรงเพราะถึงอย่างไรก็ครอบคลุมไปไม่ถึงการยุติสงครามไซเบอร์ได้ด้วยวิธีนี้ ที่จริงน่าจะผ่อนปรนหรือลดหย่อนโทษผู้ถูกจับกุมในข้อหาต่าง ๆ เพื่อลดอาการติด "โควิดทางการเมือง" ของทั้งสองฝ่าย แล้วหันมาใช้เส้นทางรัฐสภาเปิดประชุมสมัยวิสามัญแก้รัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด