Work From Home ทำให้ Work-Life ไร้ Balance จริงหรือ?
มนุษย์ทำงานทุกคนใฝ่ฝันและพยายามที่จะสร้าง Balance ให้เกิดขึ้น
แต่ในชีวิตจริงแล้วเราไม่มี “สวิทช์” ที่จะสามารถสับเปลี่ยนระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้ และเราคงไม่สามารถสร้างเส้นแบ่งได้อย่างชัดเจนว่าสัดส่วนของงานและชีวิตส่วนตัวควรจะเป็นเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่า Balance
การทำงานคือส่วนสำคัญของชีวิต ทำให้เรามีรายได้และเป็นเครื่องมือพิสูจน์ตัวตน แต่ชีวิตเรายังมีหลายด้าน ทั้งความฝันของตัวเองที่อยากไปให้ถึง สุขภาพร่างกายที่ต้องดูแล ครอบครัว และอีกมากมายที่อยากเป็นอยากทำ การพยายามทำให้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวสมดุลกัน หรือที่เราได้ยินกันคุ้นหูว่า Work-Life Balance หากมองดูเผินๆ มันคือการจัดการชีวิตและงานให้สมดุลกันแบบแบ่งครึ่ง เรื่องงานครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นชีวิตส่วนตัว แต่ทำไปทำมา จาก Work-Life Balance กำลังจะกลายเป็น Work-ไร้-Balance ในช่วง Work From Home ทำไงดี
Work-Life Balance เป็นจริงหรือหลอกให้หลง
Work-Life Balance ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร! ในทางกลับกัน มันกลายเป็นค่านิยม ที่ถูกพูดถึงกันมากว่าสิบปีแล้ว ในช่วงเวลาที่คนทำงานเริ่มเหนื่อยกับการแข่งขัน เส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ได้มาโดยง่าย การทำงาน 9 to 5 ที่ไม่เกิดขึ้นจริง เวลาส่วนตัวที่เริ่มถูกเบียดขับออกไปเพราะเรื่องงานที่เข้ามากัดกินมากขึ้น
ศาสตราจารย์ด้านการจัดการทางคลินิก มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก บอกไว้ว่า สมดุลระหว่างงานและชีวิตไม่สามารถคำนวนออกมาด้วยสูตรสำเร็จง่ายๆ อย่างการพยายามตั้งปณิธานว่า ต้องเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จภายใน 8 ชั่วโมง ต้องมีอีก 8 ชั่วโมงที่เหลือไว้สำหรับครอบครัวและคนที่รัก และอีก 8 ชั่วโมงสำหรับนอนหลับพักผ่อน
การตั้งต้นเพื่อหาสมดุลหรือบาบานซ์ให้กับชีวิต คือการตามหาความหมายของมันอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่การแบ่งชั่วโมงในการทำงาน หาเวลาไปออกกำลังกาย หรือมีเวลาใช้ชีวิต นั่นคือไม่แบ่งแยกงานกับชีวิตออกเป็นคนละส่วน แต่ทำให้ทั้งสองสอดประสานไปด้วยกันได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกว่า งานเข้ามาทำให้ชีวิตแย่ลง นั่นแปลว่าคุณกำลังมองงานด้วยวิธีคิดที่แบ่งแยกเป็นคนละส่วนกับชีวิต และถ้ามองผ่านแว่นแบบนี้ จึงไม่มีทางเลยที่เราจะรักและไปได้ดีกับงาน
Work From Home สู่ Work Life-ไร้- Balance
ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 นั้น ชีวิตในช่วงปกติของคนเราทุกคนต่างวนเวียนอยู่กับที่ทำงานมุ่งเน้นการทำงานเพื่อ สร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ทั้งงานประจำและอาชีพเสริม อยู่กับม้านั่ง อยู่กับโต๊ะทำงานจนมืดค่ำ อยู่บนท้องถนนอีกวันละหลายชั่วโมง กลับถึงบ้านแทบจะหมดแรงต้องล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยล้า และต้องตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อทำในสิ่งเดิมๆ สัดส่วนระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวที่เรารู้สึกได้อาจจะมากถึง 80:20
แต่การที่ต้อง Social Distancing เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสนั้นทำให้มีการ Work From Home กันมากขึ้น ต้องทำงานอยู่กับบ้าน ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว มีเวลามองสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ทำให้ทั้งตัวทั้งงานอยู่ที่บ้านทั้งหมด สมดุลในชีวิตเรายิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะเมื่อก่อน ที่ทำงานและที่พักอาศัยแยกออกจากกันชัดเจน แต่เมื่อที่ทำงานกับที่พักคือที่เดียวกัน ชีวิตส่วนตัวเรายิ่งปะปนกับงานได้ง่าย สัดส่วนระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวรู้สึกพลิกตาลปัตร 20:80 โอ้ย!!
เท่าที่ได้ฟังความเห็นคนรอบข้าง หรือคนในโซเชียลบ่นๆ กัน ก็คือ ทำงานอยู่บ้านแล้วเหมือนทำงานเต็มเวลา ไม่มีสมาธิ งานไม่เดิน จิตตกต่างๆ นานา แทนที่จะเป็นการดีที่เราจะพักผ่อนได้มากขึ้น กลับกลายเป็นจมอยู่กับงานจนทำให้ Work-Life Balance กำลังวุ่นวาย กลายเป็น “Work ไร้ Balance”
Work-Life Balance อาจเวิร์ค ถ้า...
การจะพยายามทำทุกอย่างให้สมดุลอย่างยั่งยืนนั้นอาจไม่ได้ใช้เวลาชั่วข้ามคืน แต่มันจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพราะมันไม่ใช่การตัดสิ่งหนึ่งเพื่อเลือกทำสิ่งหนึ่ง แต่มันคือการทำหลายสิ่งไปพร้อมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งเราทำได้สำเร็จหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและภายนอกต่างๆ ซึ่งถ้าหากลองทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านั้นตั้งแต่ต้น ความสมดุลที่เราต้องการอาจตามมาได้อย่างไม่ยาก