ความเจ็บปวดและการแก้ไขในวิกฤติต้มยำกุ้ง VS โควิด-19
จนถึงวันนี้เป็นเวลาประมาณปีครึ่งแล้ว ตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ดูเหมือนว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
แต่กลับแย่ลงและไม่รู้ว่าโรคจะติดต่อร้ายแรงไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งก็จะมีผลให้เศรษฐกิจตกต่ำลงต่อไป จนอาจจะทำให้ประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะที่มีรายได้น้อยประสบกับปัญหาจน “รับไม่ไหว” ผมเองเคยพูดว่า เวลาของการเติบโตทางเศรษฐกิจของเราอาจจะ “หายไป 3 ปี” แต่ลึกๆ แล้วก็มีโอกาสที่จะกลายเป็น 4 ปี ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็จะเป็นวิกฤติที่รุนแรงเท่าๆ กับวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540 ที่เศรษฐกิจไทย “หายไปประมาณ 4 ปี” แต่ถ้ามองในมุมของจำนวนคนที่ถูกกระทบจากวิกฤติซึ่งไม่ได้มีแค่ทางเศรษฐกิจ แต่ในด้านสังคมและอื่นๆ ด้วยแล้ว ผมคิดว่าวิกฤติโควิด-19 นั้นรุนแรงกว่าวิกฤติต้มยำกุ้งมาก ลองมาทบทวนความหลังกันในฐานะของคนที่เคยอยู่ในท่ามกลางวิกฤติทั้ง 2 ครั้ง
วิกฤติต้มยำกุ้งนั้น เป็น “วิกฤติคนรวย” นั่นก็คือ คนรวยหรือคนที่มีฐานะดี โดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถกู้เงินโดยเฉพาะดอลลาร์จากต่างประเทศเข้ามาใช้ลงทุน ประสบกับปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อมีการลดค่าเงินบาทซึ่งทำให้เกิดภาวะล้มละลาย ซึ่งส่งผลให้สถาบันการเงินล้มตามไปด้วย ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้สภาพคล่องทางการเงินที่หล่อเลี้ยงธุรกิจทั้งประเทศหายไปเกือบหมด เศรษฐกิจโดยเฉพาะจากบริษัทใหญ่ๆ “หยุดชะงัก” ส่วนวิกฤติโควิด-19 นั้น บริษัทขนาดใหญ่และคนรวยมีปัญหาน้อย ยอดขายอาจจะลดลงบ้างแต่พวกเขาก็ยังมีกำไร คนที่เจ็บหนักก็คือ “คนจน” หรือคนชั้นกลางใน บางภาคของเศรษฐกิจ เช่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเดินทางและความบันเทิงที่มีการชุมนุมผู้คน เพราะโควิด-19 ทำให้กิจการเหล่านั้นถูกปิดและพวกเขาไม่สามารถหางานอื่นที่ให้ผลตอบแทนเท่ากันได้
ในช่วงวิกฤติปี 40 นั้น ผมเป็นพนักงานของสถาบันการเงินที่ในที่สุดก็ “ถูกปิด” ในช่วงเวลาก่อนที่จะถูกปิดซึ่งกินเวลาเป็นปีๆ นั้น ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก ผมยังได้เงินเดือนเหมือนเดิม งานที่ทำนั้นอาจจะน้อยลง เนื่องจากไม่มีเงินที่จะปล่อยกู้แล้ว งานที่ทำก็กลายเป็นการหาทางทำให้บริษัทรอดจากการล้มละลายซึ่งในที่สุดก็ไม่สำเร็จ เพราะ “ภาพใหญ่” ของประเทศไปไม่ไหวแล้ว ในช่วงนั้น สิ่งที่รบกวนจิตใจจริง ๆ ก็คือ “อนาคตเราจะเป็นอย่างไร” เกือบทุกเที่ยงวัน ผมก็มักจะเดินไปกินอาหารกลางวันย่านสยามสแควร์คนเดียว แล้วก็มองดูร้านค้า ทั้งด้านนอกและใน ชอปปิงมอลล์ ที่เหงาหงอยและหลายร้านก็ปิดร้าง คนชั้นกลางขั้นสูงหลายคนเริ่ม “เปิดท้ายขายของ” เอาเสื้อผ้าหรูหรือของใช้มีค่าใส่ท้ายรถหรูมาขายในชุมชนหรูเช่นย่านทองหล่อ ไม่มีใครบ่นว่า “ไม่มีจะกิน” อย่างในช่วงโควิดนี้
ออกจากงานในสถาบันการเงินผมก็สามารถได้งาน “ที่ปรึกษา” ในบริษัทสื่อสารขนาดใหญ่แทบจะทันที ดูเหมือนว่ากลุ่มคนที่ทำงานในสถาบันการเงินส่วนใหญ่ที่ถูกปิดจะสามารถเข้าไปทำงานให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่กำลังดีขึ้นมากเนื่องจากค่าเงินบาทที่ลดลง ส่วนผู้ใช้แรงงานเองนั้น ในช่วงแรกที่ต้องตกงานก็อาจจะมีบ้างที่ “กลับบ้านต่างจังหวัด” ที่จะมีอาหารและที่อยู่ที่จะเอาตัวรอดได้ รัฐบาลเองนั้น ถ้าผมจำไม่ผิดก็มี “โครงการมิยาซาวา” ที่เป็นเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นจำนวนประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ที่จะหางานให้คนในท้องถิ่นทำ ผมยังจำได้ว่ามีญาติคนหนึ่งที่เป็น “แม่บ้าน” และก็ไม่ได้ยากจนหรือลำบากอะไรอุตส่าห์ไป “เรียน” การทำงานฝีมือของโครงการหนึ่ง
ในระดับของคนชั้นกลางกินเงินเดือนนั้น ผมเองถูกถามจากเพื่อนว่า เขามีเงินกู้บ้านและรถอยู่จะทำอย่างไร เพราะบริษัทเงินทุนที่กู้มาถูกปิดหรืออาจจะกำลังถูกปิด ถ้าผ่อนต่อจะเป็นปัญหาไหม พวกเขามีเงินและพร้อมที่จะผ่อน แต่ผ่อนไม่ได้ และอาจจะถือโอกาสไม่ยอมผ่อน เพราะคนให้กู้กำลังจะเจ๊ง ดังนั้น ลูกหนี้จำนวนมากในบัญชีของสถาบันการเงินอาจจะเป็น “หนี้เสีย” แต่จริงๆ แล้วพวกเขายังจ่ายหนี้ได้ ว่าที่จริงผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ คนจนและคนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่ได้เจ็บหนักอะไรนัก ในขณะที่คนรวยหรือเศรษฐีใหญ่จำนวนมากจนลง หรือมีความมั่งคั่งน้อยลงมาก เหตุเพราะบริษัท “ล่มสลาย” หรือรอดมาได้แต่มีการเพิ่มทุนโดยเฉพาะจากผู้ถือหุ้นต่างประเทศจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนเศรษฐีไทยกลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย และภายหลังที่วิกฤติได้รับการแก้ไขผ่านไป ประเทศไทยก็ผ่านเข้าสู่ยุค “Modern Business” ที่เกิดธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการบริหารแบบใหม่ที่เป็นระบบและเป็นเครือข่าย มีสาขากระจายไปทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดยตลาดทุนที่ไม่ได้อิงเฉพาะกับสถาบันการเงินอีกต่อไป เศรษฐีใหม่ของไทยเกิดขึ้น เศรษฐีเก่าค่อยๆ เลือนหายไป
พูดถึงปัญหาสังคมที่มักจะมีคน “ฆ่าตัวตาย” มากขึ้นในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจนั้น อาจจะมีคนคิดว่าปีต้มยำกุ้งคนน่าจะลำบากและเครียดจนฆ่าตัวตายกันมาก ผมคิดว่านี่เป็น “ภาพลวงตา” และส่วนหนึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นในช่วงปลายปี 2538 ที่เกิดการ “พยายามฆ่าตัวตาย” ต่อหน้าคนจำนวนมาก ในตลาดหลักทรัพย์ที่ตึกสินธรในขณะนั้น ของนักเล่นหุ้นคนหนึ่งที่ขาดทุนหุ้นจน “หมดตัว” ในช่วงที่เศรษฐกิจไทย เริ่มมีปัญหารุนแรงและดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำมานานจากจุดสูงสุดที่กว่า 1,750 จุด เหลือประมาณ 1,200 จุด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์นั้น เป็นข่าวโด่งดังมาก และอาจจะติดอยู่ในความคิดของคนในภายหลัง แต่ความเป็นจริงก็คือ ผมไม่เห็นว่าจะมีอัตราการฆ่าตัวตายที่ผิดปกติในหมู่ประชาชนทั่วไปเลย แต่ในวิกฤติโควิด-19 ผมคิดว่าน่าจะมีคนฆ่าตัวตายมากขึ้นจริง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หลายคนบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว”
พูดถึงการต่อสู้หรือจัดการในการแก้ปัญหาวิกฤติในภาคของรัฐแล้ว ผมคิดว่ามีอะไรที่เหมือนกันและแตกต่างกันพอสมควร ประการแรกก็คือ ใน “รอบแรก” ที่เกิดปัญหานั้น ดูเหมือนว่าไทยจะ “ชนะ” และแทบจะมีการ “เปิดแชมเปญ” ฉลอง ในกรณีของต้มยำกุ้ง นั้น ในช่วงต้นปี 2540 แบงก์ชาติ ซึ่งเป็นทัพหน้าในการต่อสู้กับ “การโจมตีค่าเงินบาท” ของนักลงทุนต่างประเทศที่น่าจะรวมถึงจอร์จโซรอส ด้วยนั้น เราสามารถ “เอาชนะ” ได้อย่างน่าประทับใจ สิ่งที่เราทำในตอนนั้น ก็คือการเอาเงินดอลลาร์ที่เป็นเงินสำรองของประเทศไปซื้อเงินบาท ในต่างประเทศโดยการทำ “Swap” เพื่อปกปิดธุรกรรม นั่นอาจจะทำให้คนเข้ามาปั่นเงินบาทเจ๊งและเลิกเข้ามาโจมตีเงินบาทต่อไป อย่างไรก็ตาม นั่นก็คงเหมือนกับการเก็งกำไร หรือปั่นหุ้น ที่ไม่มีพื้นฐาน ตอนแรกหุ้นก็อาจจะขึ้น แต่ในที่สุดเงินสำรองเราก็หมดและเงินบาทก็ “ล่มสลาย” ในวันที่ 2 ก.ค.2540 ที่ไทยต้องประกาศลดค่าเงิน นี่ก็คงคล้ายๆ กับวิกฤติโควิด-19 ที่ในช่วงแรกเราทำได้ดีมากและเราก็ “ประกาศไปทั่ว” ก่อนที่จะพบว่าเรา “พลาดไปมาก” ในวันนี้
ยุคต้มยำกุ้งนั้นประเทศไทยมีนายกเป็นทหารที่ “สมบูรณ์แบบ” ในหลายๆ ด้าน เป็น “นักเรียน ห้องคิงโรงเรียนเตรียมอุดม” เป็นทหารที่เอาชนะคอมมิวนิสต์ด้วยนโยบาย 66/23 ที่นิรโทษกรรมคน และนักศึกษาที่หนีเข้าป่าเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายแข็งกร้าวปราบคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลขวาจัดในยุคก่อน เป็นผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดถึง 4 ปี ก่อนที่จะลาออกมาเล่นการเมืองเมื่ออายุ 58 ปี และได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2539 ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบกับมรสุมอย่างหนัก การจัดการแก้ไขปัญหาวิกฤติของ “บิ๊กจิ๋ว” หรือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธนั้น ก็คงคล้าย ๆ กับในกรณีของวิกฤติทั้งหลายที่ “สับสนอลหม่าน” ประเภทวันหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง พอถึงอีกวันก็เปลี่ยนไป รับปากไว้แล้วพอถึงวันก็ “ลืม” จน “หมอ” ที่อยู่ “ฝ่ายตรงข้าม” ต้องออกมาพูดว่าพลเอกชวลิต น่าจะเป็น “อัลไซเมอร์” ในยุคที่คนไทยยังไม่รู้จักโรคนี้ อย่างไรก็ตาม “บิ๊กจิ๋ว” ไม่เคยว่าใครหรือโกรธใคร เวลาพูดจะสุภาพและหวานจนได้ฉายาว่า “จิ๋วหวานเจี้ยบ”
เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเลวร้ายลงไปมาก แรงต่อต้านบิ๊กจิ๋วก็มากขึ้นเรื่อยๆ พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็พยายามที่จะล้มรัฐบาล แต่ก็ไม่สำเร็จ ถึงจุดหนึ่งประชาชนโดยเฉพาะที่เป็นคนชั้นกลางขึ้นไปและคนรวยก็เริ่มประท้วงเพราะเป็นผู้ที่บาดเจ็บมากที่สุด เรียกว่าเป็น “ม็อบคนรวย” เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการจัดม็อบขึ้นกลางถนนสีลมนำโดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรและบริษัทขนาดใหญ่เรียกร้องให้พลเอกชวลิตลา ออกซึ่งในที่สุดเขาก็ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อผลงานของตนเองและเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ แนวความคิดแบบ “ประชาธิปไตย” ของบิ๊กจิ๋ว ในห้วงเวลานั้นเองก็อาจจะเป็นผลมาจาก “กระแส” ของประชาชนในช่วงนั้นที่มีการเรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยโดยเป็นฉบับที่ “เขียนโดยประชาชน” และได้รับการรับรองโดยสภาผู้แทนราษฎรเรียกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ก่อนที่พลเอกชวลิตจะลาออกและถูกแทนที่โดยนายชวน หลีกภัย ผู้นำฝ่ายค้านที่พาประเทศผ่านวิกฤติในที่สุด
สำหรับในกรณีของวิกฤติโควิด-19 นั้น ผู้อ่านก็คงจะต้องวิเคราะห์เองว่าการจัดการของรัฐมีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไรจากวิกฤติต้มยำกุ้งและจะลงเอยแบบไหน