ลงทุนต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย

ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ลงทุนไทยให้ความสนใจการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ประกอบกับนโยบายผ่อนคลายของหน่วยงานกำกับดูแลในส่วนที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศ หากพิจารณาในแง่สถิติของยอดคงค้างหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนไทยของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าใน ณ สิ้นปี 2020 ผู้ลงทุนไทยนำเงินไปลงทุนต่างประเทศรวมประมาณ 79,411 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2015 โดยเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวม (Foreign Investment Fund หรือ FIF) ถึง 64%
ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
เหตุที่ผู้ลงทุนทั่วไปนิยมลงทุนผ่านกองทุนรวม FIF เพราะเป็นทางเลือกที่สะดวกและไม่ยุ่งยาก มีตัวเลือกในการลงทุนที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มหุ้นในแต่ละภูมิภาคของโลก และมักนำเสนอเป็นแนวคิดการลงทุนที่เข้ากับสถานการณ์ เช่น เทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ ลงทุนในตลาดที่มีความน่าสนใจ เช่น จีน เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถซื้อขายผ่านตัวแทนที่สามารถให้คำแนะนำหรือทำรายการซื้อขายเองผ่านระบบออนไลน์ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนผ่านกองทุนรวม FIF นั้น ผู้ลงทุนควรต้องทราบข้อจำกัดบางประการ เช่น จะสามารถซื้อขายได้เฉพาะราคาสินทรัพย์สุทธิของกองทุน (NAV) ณ สิ้นวัน นอกจากนี้ ระยะเวลาที่ได้รับเงินจากการขายหน่วยลงทุนจะใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนานกว่ากองทุนในประเทศหรือการซื้อขายหุ้น นั่นคือประมาณ 5 วันทำการหลังจากทำรายการ (T+5) อีกทั้งกองทุนรวมเหล่านี้มักมีค่าธรรมเนียมกองทุนโดยรวมในอัตราที่สูง
นอกจากการซื้อขายกองทุนรวม FIF ผู้ลงทุนอาจใช้วิธีการลงทุนในต่างประเทศผ่านตัวแทน เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งมีความคล่องตัวสูงกว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวม สามารถเลือกสินทรัพย์ลงทุนได้หลากหลาย โดยปัจจุบันการลงทุนผ่านตัวแทนมีสัดส่วนประมาณ 4% ของเงินลงทุนต่างประเทศของผู้ลงทุนไทย ในเชิงมูลค่าเม็ดเงินลงทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย) อย่างไรก็ตาม การลงทุนต่างประเทศในลักษณะนี้ ผู้ลงทุนควรต้องมีความรู้ รวมทั้งต้องหาข้อมูลในการลงทุนเพิ่มเติมด้วยตนเอง เข้าใจความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงสินทรัพย์ที่จะลงทุน และการบริหารจัดการภาษีจากการลงทุน
ปัจจุบัน ผู้ลงทุนยังมีช่องทางเข้าถึงสินทรัพย์ต่างประเทศในรูปแบบของตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depository Receipt (DR)) ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivatives Warrant (DW)) หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund (ETF)) ที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้นในต่างประเทศ เช่น DR ที่อ้างอิงกับดัชนี VN30 ของเวียดนาม DW ที่อ้างอิงกับดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง DW ที่อ้างอิงกับดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ หรือ ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี CSI300 ของจีน เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ทำให้ผู้ลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์ต่างประเทศได้สะดวกขึ้นผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง ซื้อขายได้เป็นเงินบาทไม่แตกต่างจากการลงทุนในหุ้นไทย โดยมีผู้ดูแลสภาพคล่องซึ่งแต่งตั้งโดยบริษัทผู้ออกตราสารเหล่านี้ทำหน้าที่เสนอราคาซื้อขายให้กับผู้ลงทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง รวมทั้งบริษัทผู้ออกตราสารและโบรกเกอร์ยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับตราสารดังกล่าว ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน
เพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับกฎเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อให้รองรับประเภทสินค้าอ้างอิงของ DR ให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้นตามที่หน่วยงานกำกับดูแลอนุญาต ได้แก่ บริษัทหรือกองทุนทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมต่างประเทศที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ นอกจากนี้ เกณฑ์ใหม่ยังรองรับการออก DR ที่มีอัตราส่วนสินทรัพย์อ้างอิงต่อ DR ได้ตามที่ผู้ออกตราสารกำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เพื่อรองรับ DW ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นหุ้นต่างประเทศ รวมทั้ง การนำกองทุนอีเอฟที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ในต่างประเทศที่น่าสนใจเข้ามาจดทะเบียนเพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ลงทุนอีกด้วย สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th