โควิด-19 จะนำไทยสู่หายนะอสังหาฯ
โควิด-19 ที่หลายประเทศกำลังเริ่มผ่อนคลาย แต่ไทยยังติดเชื้อมากมาย และ “ตายเป็นเบือ” แถมใช้งบมหาศาลกว่าประเทศอื่น จะทำไทยติดหล่มหายนะเศรษฐกิจ
ณ วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2564 ประเทศไทยติดโควิดแล้วจำนวน 1,219,531ราย และตายแล้วถึง 11,841 ราย ทั้งที่เมื่อปี 2563 มีผู้ติดโควิดเพียง 6,884 คนและเสียชีวิต 61 รายเท่านั้น ในขณะนี้ในวันหนึ่งๆ ก็มีผู้ติดเชื้อมากกว่าปีที่แล้วหลายเท่าแล้ว อันที่จริงโควิดทำให้คนตายเสียชีวิตเพียง 1% เท่านั้น แต่โดยที่คนไทยติดเชื้อแล้วนับล้านคน จึงทำให้มียอดคนเสียชีวิตนับหมื่นคน ถ้าค่าชีวิตที่เสียไปพอๆ กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือคนละ 7.5 ล้านบาท ก็เป็นค่าความสูญเสียชีวิตไปแล้วถึง 88,807.5 ล้านบาท
อันที่จริงประเทศอื่นๆ เขาก็เผชิญกับโควิดอย่างหนักหน่วงกว่าไทยโดยเฉพาะในปี 2563 เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่วันนี้มีผู้ติดเชื้อ 1,469,327 ราย และเสียชีวิต 15,994 ราย แต่ญี่ปุ่นมีการจัดการที่ดีคือ ประการแรก เขาสั่งซื้อแต่วัคซีนดีๆ โดยเฉพาะไฟเซอร์และโมเดอร์นา ไม่ได้สั่งซีโนแวคที่เพิ่งได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเมื่อ 1 มิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง และประการที่สองญี่ปุ่นระดมฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบ คือ ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ก่อน แล้วอันดับสองค่อยฉีดประชาชนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดครบแล้ว ค่อยฉีดให้ผู้ที่อายุไม่ถึง 65 ปีแต่มีโรคประจำตัว และสุดท้ายค่อยฉีดให้กับประชาชนทั่วไป
เพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมอายุยังไม่ถึง 50 ปี และไม่มีโรคประจำตัว ก็เพิ่งได้ฉีดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ที่ญี่ปุ่นไม่มีการลัดคิว ไม่มีตั๋ว VIP หรือ VVIP และไม่มีการเปิดโอกาสให้มีหน่วยงานสั่งวัคซีนเข้ามาได้หลายแห่งแบบบ้านเรา แล้วก็มา “ตีฆ้อง” ให้คนไปฉีดที่โน่นที่นี่โดยฉีดได้วันละเป็นพันหรือเป็นหมื่นเข็มแบบ “ชิงโชค” มาก่อนได้ก่อน จนผู้คนสับสนไปหมด ไม่ได้มีโปรแกรมการฉีดสารพัดจนชาวบ้านจำกัดแทบไม่หวาดไม่ไหว ความเป็นระบบแบบญี่ปุ่นจึงทำให้ญี่ปุ่นมีคนตายเพียงวันละ 50 คน ทั้งที่มีประชากรมากกว่าไทยเกือบเท่าตัวและมีคนติดเชื้อในแต่ละวันมากกว่าไทย
ในด้านราคาอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าในแต่ละปี ราคาแทบไม่ขยับเลย ค่อนข้างจะคงที่ จะเพิ่มขึ้น ก็แค่ 0.5% ก็ถือว่าเพิ่มสูงมากแล้วในแต่ละปี กรณีนี้ผิดกับประเทศไทยในปี 2563 ที่ราคาที่อยู่อาศัยที่ขายในมือของผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินที่สำรวจโดยศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ที่พบว่า ราคาลดลงถึง 7% ในช่วงปี 2563 ส่วนในครึ่งแรกของปี 2564 ราคาลดลงอีกเล็กน้อย การนี้แสดงว่าโควิดไม่ได้ส่งผลกระทบหนักต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น
หันมาเปรียบเทียบกับสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษที่มีขนาดประชากรพอๆ กับประเทศไทยคือเกือบ 70 ล้านคน จะพบว่าอังกฤษติดโควิดกันงอมแงมมากในช่วงแรกๆ และแม้แต่ในช่วงนี้ ก็ยังติดโควิดกันวันละประมาณ 35,000 คนมากกว่าไทยเสียอีก แต่อัตราการเสียชีวิตมีเพียงวันละ 120 คน เดี๋ยวนี้เขาแทบจะเลิกใส่หน้ากากเข้าหากันแล้ว สามารถไปชมการแข่งขันฟุตบอลแล้ว แต่ไทยยังซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านอย่างไม่มีกำหนด แล้วเศรษฐกิจของชาติจะไม่ถูกกัดกร่อนจนถึงขั้นหายนะในอนาคตอันใกล้ได้อย่างไร
สาเหตุที่อังกฤษยังติดเชื้อมากทั้งที่ฉีดวัคซีนกันมากมายถึง 64% ก็เพราะว่าการกลายพันธุ์ของโควิดนั้นทำให้การติดเชื้อง่ายมากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้อัตราการตายเพิ่มขึ้น ซึ่งต่างจากโรคซาร์สที่ทำให้มีคนตายถึง 15% ของผู้ติดเชื้อ และโรคเมอร์สที่ทำคนตายถึงหนึ่งในสามของผู้ติดเชื้อ โควิดแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว แทบไม่มีใครติดเชื้อเลย ในประเทศไทยมีข่าวว่า “สธ. เผยสถิติผู้ไม่ฉีดวัคซีน-ฉีดไม่ครบ เสียชีวิตสูงกว่าผู้ฉีดวัคซีนครบ 30 เท่า” (https://bit.ly/3DvJxf7) แต่ในความเป็นจริงอาจแตกต่างกันเป็นร้อยเท่าก็ว่าได้
การที่ประเทศไทยมีผู้ฉีดวัคซีนครบเพียง 11% ของประชากร (กัมพูชาฉีดครบแล้ว 51% มาเลเซีย 47%) คนไทยย่อมเป็น “เหยื่อ” เป็น “เป้า” ของโควิดกลายพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงเชื่อว่าน่าจะมีคนตายมากขึ้นอีกมาก ทั้งนี้สมมติว่าในประเทศไทยในปี 2564 จะมีผู้ติดเชื้อจำนวน 2 ล้านคน โดยประมาณการว่าในอีก 120 วันที่เหลือ อาจจะมีผู้ติดเชื้อเฉลี่ยเพียงวันละ 6,000 คน จากค่าเฉลี่ยวันนี้ที่ 18,000 คน ก็จะมีผู้ติดเชื้อในปีนี้รวม 2 ล้านคน หากเสียชีวิต 1% ก็เท่ากับว่าปีนี้จะมีผู้เสียชีวิตเพราะโควิด 20,000 คน หรือเป็นมูลค่าชีวิตถึง 150,000 ล้านบาท
โดยที่อังกฤษจัดการโควิดได้ดีกว่าไทย จึงทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในอังกฤษยังเติบโตต่อเนื่องประมาณ 10% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (นับระหว่างเดือนพฤษภาคม 2563-4 ซึ่งเป็นเดือนล่าสุด) ซึ่งสวนทางกับประเทศไทยที่ราคาลดลง ทั้งนี้ราคาบ้านในอังกฤษเป็นเงินเฉลี่ย 255,000 ปอนด์หรือ 11.33 ล้านบาทต่อหน่วยในขณะที่ราคาบ้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเฉลี่ยหน่วยละ 4 ล้านบาท (https://bit.ly/3t4XqMw)
ประเทศไทยของเราพยายามที่จะนำเงินเข้าสู่ประเทศโดยใช้ภาคการท่องเที่ยวมาช่วย แต่ปรากฏว่าในปี 2563 ที่ประเทศไทยติดเชื้อน้อยมาก เพียง 6,884 รายนั้น ไทยกลับไม่เปิดประเทศ แต่ในขณะนี้ไทยกลับเปิดประเทศ แต่ปรากฏว่าประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังขั้นสูงสุด และแนะนำให้พลเมืองของตนหลีกเลี่ยงการเดินทางมา นอกจากนี้อังกฤษก็ยังให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศสีแดงที่ต้องระวังสูงสุด คนไทยเข้าอังกฤษก็ต้องกักตัว 10 วัน และคงไม่ให้คนอังกฤษเข้าไทย ทั้งนี้อาจรวมทั้งประชากรในภาคพื้นยุโรปที่อาจไม่กล้าเข้าไทยด้วย เข่นนี้แล้วเศรษฐกิจไทยก็คงจะย่ำแย่ได้ โอกาสฟื้นคงจะมีได้ยาก
ล่าสุด IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น (https://bit.ly/3BuNizr) อาจถือได้ว่า “ติดหล่ม” ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยก็คงไม่โตเท่าที่ควร ทุกวันนี้ที่ไทยยังไม่ “สะเทือน” นักเพราะสถาบันหลักๆ ของไทยยังอยู่ครบ เช่น BBL PTT SCB SCG เป็นต้น แต่ในอนาคตอาจไม่แน่นักเพราะหนี้เสียของสถาบันการเงินอาจมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนคุมไม่อยู่ก็เป็นไปได้ และเมื่อนั้นหายนะทางเศรษฐกิจก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ถ้าเรายังบริหารโควิดแบบนี้ ไทยอาจรอดพ้นจากหายนะทางเศรษฐกิจได้ยาก.