จัดน้ำหนักพอร์ตความมั่งคั่ง

จัดน้ำหนักพอร์ตความมั่งคั่ง

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน ปัญหาที่สำคัญอันดับต้นๆของนักลงทุนหรือผู้ต้องการวางแผนทางการเงินคือจะกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆเพื่อหวังให้เกิดผลลัพธ์จากการลงทุนตามที่ตัวเองต้องการอย่างไร

ในเมื่อในโลกของการลงทุนมีสินทรัพย์ลงทุน ให้เลือกลงทุนได้มากมายเกินกว่า 10,000 ชนิด 

และเมื่อเลือกแล้วเราจะกระจายน้ำหนักของเงินลงทุนของเราไปยังแต่ละสินทรัพย์อย่างไร ในวันนี้เราจะมามุ่งเน้นเพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เพื่อให้ได้คำตอบที่จะช่วยทำให้เราสามารถบริหารพอร์ตความมั่งคั่งของเราได้ดีขึ้น

ในคำถามเรื่องของการจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์อะไรท่ามกลางตัวเลือกมากกว่า 10,000 สินทรัพย์นั้น เราสามารถตอบคำถามนี้โดยการสร้างกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนหรือ Asset Class ขึ้นมาเพื่อลดจำนวนของตัวเลือกของเรา โดยการจัดกลุ่มของสินทรัพย์ลงทุนนั้นจะแบ่งง่ายๆตามชนิดของสินทรัพย์นั้นๆ ที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีลักษณะคล้ายเงินสด รีทส์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มคอมโมดิตี้ เมื่อพัฒนาการทางการเงินก้าวหน้าขึ้น มีสินทรัพย์ลงทุนรูปแบบใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การลงทุนในบริษัทนอกตลาด (Private Equity) การลงทุนใน ไวน์ ภาพวาด กองทุนที่มีการบริหารความผันผวน(Managed Volatility Funds) รวมถึงเหรียญดิจิทัล

แม้จะมีกลุ่มสินทรัพย์หรือสินทรัพย์ใหม่ๆเกิดขึ้นแต่การมองหรือจัดสินทรัพย์เหล่านี้เป็นกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนทำให้ง่ายต่อการจัดพอร์ตการลงทุนของเรา หลังจากนั้นเราจึงจะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาต่อไปในเรื่องที่จะกระจายน้ำหนักการลงทุนไปยังกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆนี้อย่างไรเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ดีที่สุด ภายใต้ความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยง

เมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องเลือกลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆที่เหลือน้อยลงเหล่านี้แต่เราควรแบ่งน้ำหนักของเงินลงทุนของเราอย่างไร คำตอบแรกๆที่มักจะปรากฏขึ้นในหัวของเราคือ ลงทุนกลุ่มสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดสิ หรือ แบ่งมาสัก 80% เพื่อลงทุนในตราสารหนี้เพื่อให้รักษาเงินต้นของเราเอาไว้ในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นคำตอบที่คร่าวๆ ปัญหานี้มีการพยายามสร้างเครื่องมือเพื่อมาแก้ตั้งในอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังคงพยายามแก้ปัญหานี้อยู่ ภายใต้แนวคิดหรือเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หลัก 60/40

หลักเกณฑ์ง่ายๆในการจัดพอร์ตโดยใช้หลัก 60/40 การจัดพอร์ตด้วยเกณฑ์นี้สามารถทำง่ายๆด้วยการแบ่งเงินลงทุน 60% ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น และที่เหลือ 40% ลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น ซึ่งพอร์ตการลงทุนที่ได้จะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากที่ลงทุนในหุ้นและยังกระจายพอร์ตไม่ให้เสี่ยงมากเกินไปโดยการแบ่งเงินลงทุน 40% ไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เราลองมาดูผลลัพธ์ในกรณีที่เราจัดพอร์ตการลงทุนด้วยเกณฑ์นี้กันว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ตของเราในแง่ของผลตอบแทนและความเสี่ยงได้หรือไม่

จัดน้ำหนักพอร์ตความมั่งคั่ง              ตารางสรุปผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์และพอร์ตในสัดส่วนต่างๆ

จากตารางด้านบนเราจะพบว่าถ้าเราจัดพอร์ตด้วยการลงทุน 100% ในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุ 1- 3ปี(ช่องที่ 1) ตั้งแต่ปี 2002 จนถึง 30 มิถุนายน 2021 พอร์ตการลงทุนนี้จะเติบโตอย่างสม่ำเสมอและให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3% ซึ่งแม้จะเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ไม่ได้สูงมากนักแต่ก็ยังสูงกว่าผลตอบแทนของดอกเบี้ยเงินฝากและมีความผันผวนที่วัดด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนรายวันเพียงแค่ 0.8% ต่อปีเท่านั้นและพอจะอนุมานได้ว่า 66% ของช่วงเวลาผลตอบแทนจะอยู่ระหว่าง 2.2%-3.8% นอกจากนั้นความเสี่ยงที่เกิดจากการลดลงของพอร์ตสูงสุด(MaxDD)จะอยู่เพียง 2.6% เท่านั้น

ในกรณีที่สองหากเราลงทุนด้วยเงินทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ไทย พอร์ตจะเติบโตและได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.83% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงแม้จะผ่านช่วงวิกฤติปี 2008 ในขณะที่ความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงเพิ่มขึ้นโดยมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 19.7% และมีความเสี่ยงที่วัดได้จาก Maximum Drawdown ที่สูงถึง 77.9%

ในขณะที่พอร์ตที่ได้จากการผสมการลงทุนแบบ 60/40 (ในตารางอยู่ช่องสุดท้าย) นั้นให้ผลตอบแทนที่อยู่ระหว่างกลางและความเสี่ยงแบบกลางๆ(ปรับน้ำหนักการลงทุน (rebalance) ปีละครั้ง) มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 9.76% และมีความผันผวนที่ลดลงมากโดยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานลดลงมาเหลือเพียง 11.6% ต่อปี ในขณะที่ความเสี่ยงที่พอร์ตปรับตัวลดลงสูงสุดจะลดลงมาเหลือ 38.5%

ส่วนท่านไหนที่รับความเสี่ยงได้น้อยกว่าอาจเลือกลงทุนในสัดส่วนอื่นที่แสดงไว้ในตารางตามความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง หรือเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดูผลตอบแทนและความเสี่ยงสำหรับสัดส่วนการผสมพอร์ตแบบต่างๆ

ท้ายสุดนี้ผมก็ขออวยพรให้ทุกท่านโชคดีและมีความสุขกับการลงทุนครับ