ลงทุนตามเทรนด์
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พัฒนาการด้านเทคโนโลยีประกอบกับผลกระทบจาก COVID ที่มีต่อวิธีการดำเนินชีวิตของเรา มีส่วนทำให้การลงทุนเติบโตอย่างมากทั้งในบ้านเราและทั่วโลก เพราะผู้คนใช้เวลาในบ้านมากขึ้น
เทคโนโลยีก็มีความสะดวกสบาย เกิดเป็นกระแสให้คนทั่วไปให้ความสนใจกับการลงทุนมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากจำนวนผู้ลงทุนบุคคลที่มีการเติบโตอย่างมากทั่วโลก และในไทยเราจากที่เคยมีผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 100,000-130,000 คน ก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 250,000 คนในปี 2020 และในปี 2021 นี้ เพียง 9 เดือนแรก ก็มีจำนวนผู้ลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 575,000 ราย
นอกจากการที่มีผู้สนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้นแล้ว ในการลงทุน ผู้ลงทุนยังต้องการการลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตไปในอนาคต หรือพูดง่ายๆ ก็คือเน้นแนวคิดในการหาโอกาสลงทุนที่สอดคล้องกับกระแสโลก หรือ Mega Trend ซึ่งมีหลาย Trend ด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยี เช่น การใช้แอพพลิเคชั่นเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับอินเทอร์เน็ต (Internet of Things : IoTs) และ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการจดจำและตัดสินใจเลียนแบบมนุษย์ ซึ่งคาดว่าเทคโนโลยีทั้งสองนี้ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการสิ่งต่างๆ ให้ดำเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยจากการสำรวจของ PricewaterhouseCoopers พบว่า 86% ของบริษัทฯ ที่ร่วมตอบแบบสอบถาม เชื่อมั่นว่า AI จะกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักของบริษัทฯ ภายในปี 2021 ซึ่งทำให้หุ้นกลุ่ม Technology ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน และหากพิจารณาจากดัชนี Nasdaq ที่เป็นตัวแทนหุ้นกลุ่ม Technology ในปี 2020 พบว่า ให้ผลตอบแทนราว 43% ซึ่งสูงกว่าดัชนี Dow Jones ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 7%
ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Health and Wellness ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก ด้วยคนส่วนใหญ่หันมาให้ความใส่ใจทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตของตนเองมากขึ้น เปลี่ยนแปลง Lifestyle ผ่านการให้ความสนใจกับคุณภาพของอาหารที่บริโภคมากขึ้น การออกกำลังกาย รวมไปถึงการพักผ่อนและดูแลภาพลักษณ์ โดยจากผลสำรวจของบริษัท Mc Kinsey ระบุว่า 79% ของคนทั่วไปให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของตนเอง ส่งผลให้ขนาดของอุตสาหกรรม Wellness ในตลาดโลกมีขนาดใหญ่กว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่ายังจะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 5-10% ต่อปี นอกจากนี้ การระบาดของ COVID ยังส่งผลให้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรม Health Care ที่ให้บริการทางการแพทย์ กลุ่ม Bio-Technology ที่พัฒนาคุณภาพอาหาร รวมถึงกลุ่ม Pharmaceutical ที่ผลิตยาและวัคซีน ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั่วโลกมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ อีกแนวคิดหนึ่งที่เป็นกระแสที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการลงทุนแบบ ESG หรือการเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจตามหลักการ ESG ซึ่งก็คือ แนวทางการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ด้านสังคม (Social) และด้านบรรษัทภิบาล (Governance) อันจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะยาว โดยจากข้อมูลของ Bloomberg ระบุว่าในปี 2020 มีเม็ดเงินที่ลงทุนในสินทรัพย์ ESG ทั่วโลกรวมกันถึง 37.8 ล้านล้านดอลลาร์ และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีขนาดสูงถึง 53 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025
ที่กล่าวมานั้น คงเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพของเทรนด์การลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ทั้งนี้ การลงทุนโดยเฉพาะการเลือกลงทุนตาม Mega Trend โลกสำหรับหุ้นไทยนั้น อาจจะมีตัวเลือกที่ไม่มากนัก ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนจึงมีแนวโน้มที่จะกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วง ต.ค. 2563 - พ.ค. 2564 พบว่าผู้ลงทุนไทยนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นจำนวนเงินกว่า 1.42 หมื่นล้านดอลลาร์ ผ่านกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และ บริษัทหลักทรัพย์ นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลการซื้อขายกองทุนรวมผ่าน Platform FundConnext ก็พบว่าการซื้อขายประมาณ 65% เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่เรียกว่า FIF (Foreign Investment Fund)
นอกจากการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (Offshore Investment) และการลงทุนผ่านกองทุน FIF แล้ว ผู้ลงทุนยังมีทางเลือกในการซื้อขายผลิตภัณฑ์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ได้แก่ กองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund : ETF) Depositary Receipt (DR) หรือ Derivatives Warrants (DW) ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นดัชนีต่างประเทศ เช่น ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ดัชนี S&P500 ของสหรัฐอเมริกา และดัชนี VN30 ของเวียดนาม นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ก็จะมีสินค้า ETF ที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศมานำเสนอให้ผู้ลงทุนเลือกใช้ในการสร้าง Investment Theme เพิ่มเติม
เพื่อสนับสนุนและให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนในการเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะที่ตลาดการเงินและตลาดทุนโลกเปลี่ยนแปลงไป ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงได้เตรียมจัดงาน SET in The City ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน โดยในครั้งนี้จะอยู่ภายใต้แนวคิด “เทรนด์ชีวิต เทรนด์ลงทุน” ระหว่างวันที่ 20-21 พ.ย. 2564 ซึ่งจะเป็นการจัดงานในรูปแบบออนไลน์ โดยจะให้ข้อมูลทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า การวิเคราะห์ Global Trend และ Theme การลงทุนที่น่าสนใจ แนวคิดในการเลือกกองทุนและหุ้นเด่นในเทรนด์การลงทุนต่างๆ ตลอดจนการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ผู้ลงทุนไทยสามารถเลือกใช้ให้สอดรับกับเทรนด์เหล่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับชมการสัมมนาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ https://www.set.or.th/setinthecity