ภาษีการขายหุ้น – มุมมองจากคนตลาดทุน
แผนการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Financial Transaction Tax) ในอัตรา 0.10% ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในรายละเอียด และกำลังเป็นประเด็นร้อนในตลาดทุน
โดยเหตุผลของภาครัฐ คือต้องการขยายฐานภาษีและสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี ในขณะที่ฝั่งผู้เกี่ยวข้องกับตลาดทุนกลับมองว่า เป็นการทำลายหนึ่งในเสาหลักสำคัญของภาคการเงินและระบบเศรษฐกิจ และสุดท้ายประเทศอาจได้ไม่คุ้มเสีย
ผมเข้าใจดีถึงความจำเป็นของภาครัฐในการเพิ่มรายได้ เพราะหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ก็พุ่งขึ้นเกือบแตะเพดานเดิมที่ 60% จนกระทรวงการคลังต้องขยายเพดานเป็น 70%
แต่การเก็บภาษีขายหุ้นไม่น่าจะใช่คำตอบ
มิติหนึ่งที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง คือบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะแหล่งระดมทุนหลักของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ปฎิบัติภารกิจนี้อย่างดีเยี่ยม เห็นได้จากมูลค่าการระดมทุนในตลาดแรกและตลาดรองสูงถึง 2.77 ล้านล้านบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และใน 3 ปีล่าสุด ประเทศไทยยังรั้งตำแหน่งผู้นำของอาเซียนในการระดมทุน IPO ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ภาคธุรกิจ สร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจ และนำไปสู่รายได้ภาษีของรัฐที่สูงขึ้น
หลายคนอาจสงสัยว่าการเก็บภาษีขายหุ้นจะกระทบกับการระดมทุนอย่างไร
หัวใจสำคัญของตลาดการเงินและการระดมทุนคือสภาพคล่อง คนที่ทำธุรกิจจะทราบดีว่าเวลาสภาพคล่องในตลาดเงินตึงตัว การกู้เงินจะยากลำบากมากและมักต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงกว่าในช่วงปกติ ตลาดทุนก็เช่นเดียวกัน ในภาวะที่สภาพคล่องหดตัว การระดมทุนจะทำได้ยากขึ้นมาก หุ้นใหม่ที่ออกมักถูกกดราคา ความสนใจของนักลงทุนก็ลดลงตาม
แล้วทำไมสภาพคล่องในตลาดทุนถึงมีแนวโน้มหดตัวถ้ามีการเก็บภาษีขายหุ้น
เหุตผลหลักเป็นเพราะต้นทุนการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (ค่าธรรมเนียมซื้อ + ค่าธรรมเนียมขาย + ภาษี FTT) ในปัจจุบันที่ 0.16% จะเพิ่มขึ้นถึง 62% เป็น 0.26% ซึ่งย่อมส่งผลให้ธุรกรรมลดลง
นักลงทุนกลุ่มที่คาดว่าจะชะลอการซื้อขายมากที่สุดคือสถาบันต่างประเทศ ที่ในปัจจุบันมีต้นทุนในการเทรดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.06% การเก็บภาษี FTT จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 167% นักลงทุนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นประเภท Program Trading (PT) ที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนต่อรายการเทรดที่ไม่สูง แต่เน้นลงทุนในปริมาณที่มากและถี่ การมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า อาจทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่า
ธุรกรรมจากนักลงทุน PT คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้านักลงทุนกลุ่มนี้ย้ายไปเทรดในตลาดหุ้นอื่น จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพคล่อง บางคนอาจมองว่าการเสียนักลงทุนกลุ่มนี้ไปไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะเป็นนักลงทุนคุณภาพต่ำที่เข้ามาเพื่อแสวงหากำไรระยะสั้นๆ แต่ในมุมกลับกัน PT คือกลุ่มหลักที่สร้างสภาพคล่องให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ และช่วยให้เรามีจุดขายเรื่องสภาพคล่องที่สูงสุดในอาเซียนหลายปีติดต่อกัน
นักลงทุนอีกกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหนักคือ สถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ให้กับตราสารทุนประเภทใหม่ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการส่งเสริม เช่น ETF และ DR รวมถึงการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยง เพื่อรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ ภาระภาษี FTT จะเป็นอุปสรรคในการดำเนินภารกิจเหล่านี้ให้คุ้มทุน ซึ่งจะกระทบต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของตลาดทุนไทยในอนาคต
จากการประเมินเบื้องต้น มูลค่าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโอกาสลดลงถึง 40%
นอกจากความเสียหายทางตรงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ผลกระทบทางอ้อมก็มีมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการค้นพบราคาของหุ้นแต่ละตัว (Price Discovery) อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม กองทุนระยะยาวระดับโลกอาจให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นไทยน้อยลงกว่าเดิม ทิศทางการเข้าสู่ตลาดหุ้นของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจสะดุดลง แผนการดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีให้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจทำได้ยากขึ้น รวมทั้งการจัดตั้งตลาดหุ้นกระดานที่สามเพื่อรองรับการระดมทุนของ SME ก็อาจไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เป็นต้น
บางคนพยายามชี้ว่าภาษี FTT ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน ก็มีการจัดเก็บภาษีนี้ แต่ผมมองว่าถ้าเราจะเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เราควรเลือกเทียบกับสิงคโปร์ ที่เป็นประเทศคู่แข่งด้านตลาดทุนโดยตรงของเรา หลายท่านคงทราบดีว่านักลงทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ไม่ต้องเสียภาษีอะไรเลย ไม่เสียแม้กระทั่งภาษีเงินปันผล ในขณะที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องเสียภาษีเงินปันผลในอัตรา 10% และต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้นในอัตรา 20% ถ้าเป็นนิติบุคคล การเก็บภาษี FTT จะยิ่งซ้ำเติมให้เราแข่งขันกับสิงคโปร์ได้ลำบากขึ้น
ประเด็นสำคัญที่สุดที่หลายคนมองข้ามคือ กลไกของตลาดทุนมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างรายได้ให้ภาครัฐ เห็นได้จากผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลมากขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเข้าตลาด และในแต่ละปี 30% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐบาลจัดเก็บได้ มาจากเพียง 800 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เทียบกับนิติบุคคลทั้งประเทศกว่า 1.6 ล้านบริษัท
ผมหวังว่าภาครัฐจะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปเมื่อได้พิจารณาผลกระทบทุกมิติอย่างรอบคอบ ตลาดทุนไทยกำลังอยู่ในห้วงเวลาที่สำคัญในการขยายบทบาทให้ครอบคลุมถึงการระดมทุนของกิจการ S-curve ประเภทใหม่ๆ ที่ภาครัฐต้องการส่งเสริม กิจการ SME และกิจการเทคโนโลยี Startup คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายถ้าเราต้องถอยหลังไปตั้งหลักกันใหม่