อย่าลืมชำระภาษีที่ดิน
แล้วก็ผ่านไตรมาสแรกของปี 2565 ไปอย่างรวดเร็วนะครับ ไตรมาสแรกของทุกปีก็คงเป็นอะไรที่คุ้นเคยกันสำหรับผู้มีรายได้ทุกท่าน ที่ต้องยื่นเสียภาษีกัน (หากท่านใดที่ยังไม่ได้ยื่นภาษี ยังมีเวลายื่นออนไลน์ถึงวันที่ 8 เมษายนนี้นะครับ) แต่นอกเหนือภาษีรายได้บุคคลธรรมดาแล้วนั่น
ยังมีภาษีอีกหนึ่งประเภทที่หากทุกท่านมีที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์จะต้องนำส่งด้วย นั่นก็คือ “ภาษีที่ดิน” ทั้งนี้ภาษีที่ดินที่ต้องชำระในปี 2565 นี้นั้นจะเป็นปีแรกที่มีการเก็บเต็มจำนวน ไม่ได้ลดลง 90% เหมือนใน 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ปีนี้จะเป็นปีที่ค่าภาษีที่ดิน ที่เราจะต้องจ่าย จะสูงกว่าเดิมเป็น 10 เท่า จากภาษีหลัก หมื่น ที่เคยเสีย ก็จะกลายเป็นหลักแสนกันเลย
ดังนั้นวันนี้ผมมีผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางแผนการเงินของบริษัท Wealth Creation International Co., Ltd. คุณปิติพงษ์ รุ่งเรืองวุฒิกุล CFP® จะมาเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับภาษีที่ดินให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทำความเข้าใจกันครับ เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมวางแผนในการจัดการภาษีที่ดินได้อย่างถูกต้องครับ
ภาษีที่ดิน คิดอย่างไร และ จ่ายที่ไหน ในปี 2565 นี้ อัตรา ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง จะยังใช้อัตราเดียวกับในปี 2563 และ 2564 เพียงแต่ว่าจะไม่มีส่วนลด 90% เหมือนใน 2 ปีที่กล่าวมา โดยที่ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง จะจัดเก็บตามการใช้ประโยชน์ของที่ดินโดยแบ่งเป็น 4 ประเภทดังนี้ คือ
1.ที่ดินเพื่อการประกอบเกษตรกรรม จะมีอัตราภาษีที่จัดเก็บในปี 2565อยู่ที่ 0.01% - 0.1% ขึ้นอยู่กับมูลค่าราคาประเมิน
2.ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย จะมีอัตราภาษีที่จัดเก็บในปี 2565 อยู่ที่ 0.03% - 0.1%
3.ที่ดินเพื่อการพาณิชย์กรรมและอุตสาหกรรม จะมีอัตราภาษีที่จัดเก็บในปี 2565 อยู่ที่ 0.3% - 0.7%
4.ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ จะมีอัตราการจัดเก็บภาษีอยู่ที่0.3% - 0.7%
โดยที่อัตราภาษีถูกกำหนดออกเป็นช่วง เพราะ อัตราภาษีจะขึ้นกับมูลค่าของที่ดินนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดินเพื่ออยู่อาศัย หากมีมูลค่าไม่ถึง 25 ล้านบาทจะคิดภาษีที่อัตรา 0.03% แต่หากมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านขึ้นไปจะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 0.1% ครับ
โดยภาษีที่จัดเก็บ จะคำนวนจาก ราคาประเมินคูณกับอัตราภาษี เช่น ที่ดินมูลค่า 50,000,000 บาทมีอัตราภาษีอยู่ที่ 0.1% นั้น จะมีภาษีที่ต้องชำระในปี 2565 อยู่ที่ 50,000,000x0.1% =50,000 บาท
ถึงจุดนี้เราก็จะพอเห็นแล้วว่า สิ่งที่ส่งผลต่อยอดภาษีที่เราต้องจ่ายนั้น จะขึ้นอยู่กับตัวแปรต่อไปนี้คือ ราคาประเมิน ประเภทของการใช้ประโยชน์ และอัตราภาษี โดยที่หาก ราคาประเมินนั้นต่ำ ก็จะทำให้การเสียภาษีนั้นน้อยลง และหากการใช้ประโยชน์ไปในทางเพื่อการอยู่อาศัยหรือเกษตรกรรม
ก็จะทำให้ภาษีที่ต้องจ่ายนั้นน้อยกว่า การใช้ที่ดินเพื่อการพาณิชย์หรือ ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่านั่นเองครับ และในส่วนของอัตราภาษีนั้น หากเป็นกรณีที่สิ่งปลูกสร้างนั้นมีชื่อเจ้าของอยู่ในทะเบียนบ้านตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 ก็จะช่วยลดอัตราภาษีลงเหลือ 0.02%-0.1% และจะคิดเฉพาะในส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทแรก
แต่หากเป็นกรณีที่เป็นเจ้าของ เฉพาะสิ่งปลูกสร้าง จะเสียเฉพาะในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทแรกเท่านั้นครับ
แล้วจะทราบได้อย่างไรว่า ที่ดินเราถูกจัดอยู่ในประเภทไหน และ ถูกประเมินมูลค่าไว้ที่เท่าไร ซึ่งสำหรับส่วนนี้นั้น จะสามารถทราบได้จาก การได้รับจดหมาย จากองค์การส่วนท้องถิ่นที่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเราตั้งอยู่ส่งมาให้ครับ โดยภายในเดือนมีนาคม เราควรจะได้รับทั้งหมดแล้ว หากไม่ได้รับ หรือได้รับไม่ครบ
แนะนำให้รีบติดต่อไปยัง สำนักงานเขต หรือ อบต. ในพื้นที่นั้นๆที่เรามีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ครับ โดยจดหมายที่ส่งมานั้น จะยึดตามที่อยู่ในบัตรประชาชน ซึ่งอาจจะตกหล่นไปได้ครับ โดยเมื่อติดต่อไปแล้ว ก็ให้แจ้งว่าต้องการสอบถามเรื่องภาษีที่ดิน พร้อมแจ้งชื่อและนามสกุล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและ แจ้งยอดที่ต้องชำระ หรืออาจจะให้เจ้าหน้าที่สงเอกสารมาทางอีเมล์ เพื่อตรวจเช็คความถูกต้องของข้อมูลครับ โดยส่วนสำคัญที่เราควรจะต้องพิจารณา ก็คือประเภทของการใช้ประโยชน์ที่ดินว่าถูกต้องหรือไม่ และราคาประเมินถูกต้องหรือไม่ครับ หากไม่ถูกต้องก็ควรที่จะต้องรีบทักท้วงครับ
และเมื่อได้ทราบแล้วว่าจะต้องชำระภาษีที่ดินอยู่ที่เท่าไร ก็สามารถสอบถามไปยังสำนักงานเขต หรือ อบต.นั้นถึงวิธีการชำระเงินได้เลยครับ โดยเกือบทั้งหมดจะสามารถชำระออนไลน์ได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปจ่ายเองถึงท้องที่นั้นๆครับ ทั้งนี้สามารถผ่อนชำระได้สูงสุด 3 งวดด้วยกัน โดยที่งวดแรกต้องชำระภายในเดือนมิถุนายน 2565 นี้ครับผม
ย้ำอีกครั้งว่า ชำระได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้โดยหากไม่ได้รับจดหมายประเมินภาษีจากท้องที่ ก็ให้ท่านรีบติดต่อไปยังท้องที่ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างของท่านตั้งอยู่ครับ และปีหน้าหากไม่อยากเสียภาษีที่ดินในอัตราที่สูง ให้ย้ายชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านในที่ดินที่มีราคาสูงที่สุด และ แปลงสภาพจากที่ดินว่างเปล่าเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรหรือเพื่ออยู่อาศัยครับ