5 เทรนด์ 'คริปโท' น่าจับตาในปี 2024

หลังจากตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ในช่วงขาลงหรือ Bear market มาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2021 ล่าสุดตลาดเริ่มกลับมามีความหวังเกี่ยวกับขาขึ้นรอบใหม่ที่มีโอกาสเริ่มขึ้นในปี 2024 แล้วปัจจัยอะไรบ้างที่อาจเป็นตัวสนับสนุนให้เข้าสู่ขาขึ้นรอบต่อไป บทความนี้สรุปมาให้แล้วครับ

1.Bitcoin Halving

   เหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2024 ก็คือ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ซึ่งถูกคาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณช่วงเดือนเมษายน 2024

    Bitcoin Halving คือ เหตุการณ์ที่รางวัลจากการขุด Bitcoin จะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 210,000 บล็อก ซึ่ง 1 บล็อกของบล็อกเชนบิตคอยน์ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการสร้าง หมายความว่า Bitcoin Halving จะเกิดขึ้นทุก 4 ปีโดยประมาณนั่นเอง

   

สำหรับ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 นี้จะตรงกับบล็อกลำดับที่ 840,000 และจะทำให้รางวัลจากการขุด Bitcoin ลดลงอีกครึ่งหนึ่งจาก 6.25 BTC เหลือ 3.125 BTC ซึ่งจะทำให้อุปทานของบิตคอยน์ยิ่งออกมาน้อยลงไปอีก โดยตามทฤษฎีแล้ว ยิ่งอุปทานออกมาน้อยลงในขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น

สิ่งนี้ทำให้ตลาดคาดการณ์กันว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มของ Bull run หรือตลาดขาขึ้นรอบใหม่ เหมือนอย่างที่เกิดเคยขึ้นกับ Bitcoin Halving รอบก่อนๆ ทำให้นักลงทุนในตลาดเริ่มเก็บสะสมบิตคอยน์กันมากขึ้นในช่วงนี้

 

2.Bitcoin Spot ETFs

    บรรดากองทุนชื่อดังทั่วโลกต่างกำลังผลักดันให้เกิดกองทุน Spot Bitcoin ETF ไม่ว่าจะเป็น BlackRock หรือ Fidelity แต่ทางสำนักงาน ก.ล.ต. ของสหรัฐ ได้เลื่อนการตัดสินใจอนุมัติกองทุนออกไปยังเดือนมกราคม ปี 2024

หากกองทุน Bitcoin Spot ETFs เปิดให้ซื้อขายได้อย่างเป็นทางการ บรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์กันว่านี่จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความต้องการบิตคอยน์เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากบรรดานักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนกระแสหลักจะสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ยิ่งประกอบกับเหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วยเช่นกัน ความต้องการบิตคอยน์จึงน่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างมากเลยทีเดียว

3.Ethereum 2.0

    นับตั้งแต่ Ethereum 2.0 หรือ Serenity ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2020 ตลาดก็ตื่นเต้นกับการมาของมันมาโดยตลอด เพราะจะเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ Ethereum ที่คาดกันว่าจะสามารถก้าวข้ามปัญหาอย่างการขยายขนาดได้ เนื่องจาก Ethereum นับเป็นหนึ่งในเครือข่ายบล็อกเชนขนาดใหญ่ที่มีการแอคทีฟของผู้ใช้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ DeFi, GameFi, หรือ NFT หากมีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ตลาดก็ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาด้วยนั้น

    โดยในปี 2022 ที่ผ่านมา ก็มีการอัปเดตสำคัญที่เกี่ยวกับ Ethereum 2.0 นั่นคือ The Merge ที่เปลี่ยนระบบฉันทามติของ Ethereum จาก Proof-of-Work ไปสู่ Proof-of-Stake ซึ่งทำให้เครือข่าย Ethereum สามารถลดการใช้พลังงานลงได้มากถึง 99% เลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม The Merge ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการอัปเดต Ethereum 2.0 โดยอีกหนึ่งการอัปเดตที่หลายคนให้ความสนใจก็คือ การอัปเดต EIP 1559 ที่เป็นการเพิ่มระบบเผาเหรียญ (Burn) เข้ามา ซึ่งส่งผลให้เหรียญส่วนหนึ่งที่จ่ายเป็นค่าธรรมเนียม Gas fee ถูกทำลาย เพื่อเป็นการรักษาจำนวนเหรียญ ETH ไม่ให้เฟ้อเกินไป

    นอกจากนี้ การอัปเดตอันดับถัดมาที่หลายคนจับตา ก็คือ การอัปเดต Dencun ที่เป็นการเรียกรวมการอัปเดตที่ชื่อว่า Deneb และ Cancun โดยฟีเจอร์หลักที่น่าสนใจก็คือ การนำ Proto-danksharding มาใช้ ซึ่งน่าจะสามารถช่วยให้ Ethereum ขยายขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

4. Layer 2

    อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตาในปี 2024 ก็คือ การเติบโตของเครือข่าย Layer 2 อย่าง Optimism, Polygon, Immutable เป็นต้น

    โดยเครือข่าย Layer 2 เป็นเครือข่ายบล็อกเชนย่อยที่พัฒนาขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับ Layer 1 โดยเมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นบน Layer 2 เครือข่ายก็จะนำข้อมูลธุรกรรมมาสรุป และมัดรวมเป็นข้อมูลชุดเดียว จากนั้นก็จะส่งข้อมูลที่ได้รับการสรุปแล้วกลับไปบันทึกบน Layer 1 การทำธุรกรรมบน Layer 2 จึงมีความเร็วที่สูงกว่า ขณะที่ค่าธรรมเนียมก็ต่ำกว่าการทำธุรกรรมบน Layer 1

ทั้งนี้ ยังคงเป็นที่ถูกจับตาว่าการมาของ Ethereum 2.0 ที่แก้ไขเรื่องการปรับขนาดแล้วจะทำให้ Layer 2 หมดความจำเป็นหรือไม่ แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากก็มองว่า Layer 2 จะยังมีบทความสำคัญในการผลักดันการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ ให้กับบล็อกเชน รวมถึงการทำให้บล็อกเชนเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับคนทั่วไป ดังนั้น Layer 2 จึงยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นได้อีกในปี 2024

5.Web3

     Web3 เป็นหนึ่งในแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเว็บที่คิดค้นโดย Dr.Gavin Wood หนึ่งใน Co-founder ของ Ethereum ปัจจุบันเป็น Founder ของ Polkadot

     ก่อนที่จะเข้าใจแนวคิดของ Web3 ต้องย้อนไปทำความเข้าใจ Web 1.0 - 2.0 กันก่อน โดยในยุคแรกของเว็บ หรือ Web 1.0 เว็บจะเป็นแบบ Read only หมายความว่าผู้ใช้จะทำได้แค่อ่านข้อมูลบนเว็บเท่านั้น ไม่สามารถอัปโหลดข้อมูลขึ้นบนเว็บได้เอง ต่อมา Web 2.0 เป็นยุคของ Read & Write ที่ผู้ใช้สามารถอัปโหลดข้อมูลขึ้นไปบนเว็บได้ ส่วน Web3 เป็นแนวคิดที่จะใช้ระบบกระจายอำนาจของบล็อกเชนร่วมกับเว็บ เพื่อทำให้เว็บพัฒนาเว็บไปสู่รูปแบบ Read-Write-Own หรือการที่ผู้ใช้จะสามารถร่วมเป็นเจ้าของเว็บ และมีสิทธิกำหนดทิศทางของเว็บได้

     ตัวอย่างของ Web3 ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ก็คือ dApp ต่างๆ ที่ใช้ระบบ DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization ซึ่งจะเป็นระบบที่ให้ผู้ถือโทเคนของ dApp สามารถร่วมกำหนดทิศทางทางการพัฒนาแพลตฟอร์มได้

     สำหรับเทรนด์ของ Web3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2024 คือ จะเริ่มเห็นเว็บไซต์ประเภท X-to-Earn มากขึ้น เช่น Move-to-Earn, Learn-to-Earn ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการยอมรับเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นวงกว้างมากขึ้น และผู้คนก็จะเริ่มรับรู้ความสำคัญของการเป็นเจ้าของเว็บร่วมกันผ่านแนวคิดของ Web3 มากขึ้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์