ประสบการณ์แบงก์รัน-แบงก์ล้ม

ประสบการณ์แบงก์รัน-แบงก์ล้ม

สัปดาห์ก่อนดูเหมือนว่าคนในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุน ต่างก็วุ่นวายสับสนกันทั่วโลก เนื่องจากการล่มสลายของธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank ซึ่งเป็นแบงก์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการแก่บริษัทสตาร์ทอัพและดิจิทัลในคาลิฟอร์เนีย  และอีกหลายแบงก์ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้

นอกจากนั้น ก่อนสิ้นสัปดาห์ แบงก์เครดิตสวิสซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่  “ระดับโลก” ของสวิตเซอร์แลนด์ ก็เริ่มมีปัญหาในเรื่องของทุนที่ไม่เพียงพอ เพราะธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนหนักและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นกองทุนจากประเทศตะวันออกกลางปฎิเสธที่จะเพิ่มทุน ทำให้ราคาหุ้นที่ตกต่ำอยู่แล้ว  ตกลงไปอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์  เพราะคนกลัวว่าแบงก์อาจจะต้องล้มในที่สุด 

อย่างไรก็ตาม  ธนาคารกลางของทั้งสหรัฐและสวิตเซอร์แลนด์ดูเหมือนว่าจะรีบเข้าแทรกแซงและช่วยเหลือทันทีจนทำให้สถานการณ์ไม่ลุกลามรุนแรงต่อเนื่องไปถึงธนาคารอื่นอย่างเป็นระบบ  เฉพาะอย่างยิ่ง  ธนาคารกลางของสหรัฐได้ประกาศค้ำประกันเงินฝากทั้งหมดของ  SVB

ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ฝากเงินทั่วไปว่า  เงินฝากของตนเองในแบงก์และแบงก์อื่นจะไม่หายไป  ไม่จำเป็นต้องไปถอนเงินออกพร้อมๆ กันซึ่งจะทำให้เกิด  “Bank Run” ซึ่งธนาคารจะมีเงินไม่พอให้ถอนและต้องล้มละลายทันที  ส่วนของสวิสเอง  แบงก์ชาติก็จัดหาเงินเป็นสภาพคล่องหลายหมื่นล้านเหรียญให้ในกรณีที่มีคนขอถอนเงินจำนวนมาก

ถึงวันนี้เองก็ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า เหตุการณ์แบงก์รันและแบงก์ล้มที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในสหรัฐและยุโรปนั้นจบลงไปแล้ว  ยังมีโอกาสเหมือนกันที่แบงก์จะล้มเหลวต่อไปต่อเนื่องเป็นระบบโดยเฉพาะในยุโรปที่แบงก์เครดิตสวิสมีขนาดใหญ่มากและเป็น “แบงก์หลัก” ที่การแก้ปัญหาอาจจะทำได้ยากกว่าและผลกระทบรุนแรงกว่า  ซึ่งถ้ามันส่งผลต่อเนื่องไปยังแบงก์อื่นก็อาจจะทำให้เกิด “วิกฤติ” ทางการเงินขึ้นได้

 

นั่นทำให้ผมหวนนึกถึงวันที่ผมยังทำงานอยู่ในฐานะผู้บริหารสถาบันการเงินแห่งหนึ่งของไทย ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่สถาบันการเงินหรือแบงก์ที่รวมถึงบริษัทที่ผมอยู่ด้วย  ประสบปัญหาและเกิด  “Bank Run” อย่างเป็นระบบ  และจบลงด้วยการ  “ล้ม” ของสถาบันการเงินกว่า 50 แห่งแทบจะพร้อมกันทันที  เหลือเพียง 2-3 แห่งที่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ปัญหาและผลกระทบที่ตามมาของแบงก์ หรือสถาบันการเงินที่รับเงินฝากหรือกู้เงินจากคนอื่นเพื่อมาปล่อยต่อหรือลงทุนกินส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยหรือต้นทุนกับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยหรือจากการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินเช่นพันธบัตรก็คือ เกิดความผิดพลาดหรือการฉ้อฉลในการทำงาน  เช่น  ปล่อยกู้ให้กับบริษัทหรือโครงการที่ไม่คุ้มค่า

 ลงทุนในทรัพย์สินหรือหุ้นที่มีราคาแพงเกินไปซึ่งในที่สุดก็ตกลงมาทำให้ขาดทุนมหาศาล  ทั้งสองอย่างนั้นมักจะเกิดขึ้นในยามที่เกิดความเฟื่องฟูของการลงทุนในกิจการธุรกิจ  หรือความเฟื่องฟูของราคาหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นรวมถึงที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

ในกรณีของเหตุการณ์ในช่วงนี้ก็คือ  ความเฟื่องฟูของธุรกิจสตาร์ตอัป ดิจิทัล  เหรียญต่าง ๆ  เช่น บิตคอยน์  เป็นต้น  ซึ่งก็มีแบงก์จำนวนหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยการให้กู้หรือลงทุนจำนวนมาก  โดย SVB ก็ถือได้ว่าเป็นแบงก์ที่เน้นในกลุ่มสตาร์ตอัปโดยเฉพาะ  ให้บริการที่หลากหลายรวมถึงการเป็นผู้รับฝากเงินของบริษัทเหล่านั้นด้วย 

ส่วนเครดิตสวิสเองนั้น  เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเฮดจ์ฟันด์ Archegos Capital ซึ่งเป็นกองทุนที่เล่นหุ้นแบบร้อนแรงใช้มาร์จินและอาจจะมีการใช้ข้อมูลภายในและปั่นหุ้นด้วย  ซึ่งทำให้มีผลงานโดดเด่น  มีชื่อเสียงและได้เงินจากนักลงทุนมหาศาล  แต่สุดท้ายก็พัง  กองทุนล่มสลายและเครดิตสวิสสูญเงินไปเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

ในกรณีของไทยในช่วงก่อนปี 2540 ก็คือความเฟื่องฟูของอสังหาริมทรัพย์  การลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ  เช่นโรงงานเหล็กและการผลิตอื่นๆในยามที่ไทยกำลังเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่และจะเป็น “เสือ” แห่งเอเชีย และตลาดหุ้นที่กำลังคึกคัก

โดยมี “บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์” ซึ่งทำหน้าที่เหมือนแบงก์แต่มีขนาดเล็กกว่าและกล้าเสี่ยงมากกว่า  เข้าไปให้บริการรวมถึงการร่วมลงทุนในความเฟื่องฟูนั้น  ซึ่งก็เช่นเคยและเกิดขึ้นเสมอก็คือ  ในที่สุด  “ฟองสบู่” ก็ “แตก”  บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มีผลประกอบการขาดทุนอย่างหนัก  บริษัทที่ร้อนแรงที่สุดและเป็น  “ราชัน” ของวงการคือ  “ฟินวัน” ล่มสลายก่อน  หลังจากนั้นบริษัทอื่นก็ตามกันมาจนล่มสลายเกือบทั้งหมด

 ความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้แบงก์ล้มง่ายก็คือ  ลักษณะธรรมชาติของกิจการที่มีหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินฝากนั้น  มีปริมาณมากกว่าทุนของตนเองหลายเท่า  บางทีเป็น 10 เท่า  ดังนั้น  ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจรุนแรงและกระทบกับแบงก์รุนแรง  เช่น  ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นเร็วมาก และทำให้ส่วนต่างรายได้และต้นทุนเปลี่ยนเป็นติดลบ ก็อาจจะทำให้เกิดขาดทุน เช่น 10% ของทรัพย์สิน  ก็จะทำให้เงินทุนที่มีเพียง 10% หายไปทั้งหมดได้

ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  หนี้สินของธนาคารส่วนใหญ่จะเป็นระยะสั้นและมีเจ้าหนี้จำนวนมากบางทีเป็นล้านๆ คนที่ฝากเงิน  ในขณะที่ทรัพย์สินที่ปล่อยกู้หรือลงทุนนั้นมักจะเป็นระยะยาวซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า  แต่ถ้าวันไหนเจ้าหนี้  “ขาดความมั่นใจ” ว่ากิจการของบริษัทหรือธนาคารอาจจะเลวร้ายและล้มละลายในอนาคต  พวกเขาก็จะถอนเงินและไม่ต่ออายุหนี้จำนวนมากที่ถึงกำหนดชำระ  ซึ่งแบงก์ก็จะไม่มีเงินสดพอและก็ต้องล้มละลายทันที  และนี่ก็คือ  “แบงก์รัน”

ข้อสรุปของธุรกิจแบงก์ก็คือ  แบงก์ที่  “ซ่า” หรือ “กล้ามาก”  โตเร็วมากและอาจจะกำไรดี  แต่ทุนอาจจะ “ไม่ค่อยพอ” อาจจะเพราะโตเร็วเกินไป  มีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนัก  โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจเปลี่ยน  ทำให้ความเชื่อมั่นของคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะคนฝากเงินหรือเจ้าหนี้หมดไป  ซึ่งจะทำให้พวกเขาเริ่มถอนเงินและก่อให้เกิดแบงก์รัน  และสุดท้ายในเวลาอันสั้นมากเป็นแค่หลักไม่กี่วัน  แบงก์ก็ล้มถ้าไม่มีรัฐบาลหรือคนอื่นที่ใหญ่และแข็งแรงพอเข้ามาช่วย

ประสบการณ์ของผมในช่วงที่บริษัทเงินทุนล้มก็คือ  บริษัทปล่อยกู้ให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากรวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่เช่นโรงงานเหล็ก  โดยที่บริษัทเงินทุนหลายบริษัทร่วมกันปล่อยกู้แบบซินดิเคทโลน  แต่แล้วภาคธุรกิจเหล่านั้นก็เกิดปัญหา 

ส่วนหนึ่งก็ตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่กำลังถดถอยลง  การส่งออกลดลงและสุดท้ายประเทศต้องแก้ปัญหาลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  ซึ่งทำให้หนี้ของบริษัทต่าง ๆ  เพิ่มขึ้นและไม่สามารถจ่ายคืนหนี้แบงก์ได้  กลายเป็นหนี้เสียซึ่งทำให้แบงก์มีปัญหา 

ข่าวนี้ทำให้บริษัทเงินทุนถูกถอนเงินและไม่ต่ออายุเงินหนี้เงินกู้  บริษัทเงินทุนที่อ่อนแอและไม่มีแบงก์เป็นบริษัทแม่หรือผู้ถือหุ้นใหญ่  “ล้ม”ก่อน  บริษัทที่ผมอยู่เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นแบงก์ก็ยังพออยู่ได้แต่อาการ  “แบงก์รัน” คือมีผู้ฝากเงินถอนเงินมากกว่าฝากวันละ300-400 ล้านบาทเกือบทุกวัน

งานปล่อยกู้และให้บริการทางการเงินทุกอย่างหยุดหมด  พนักงานเปลี่ยนมาทำเรื่อง  “กู้บริษัท” โดยการ “ควบรวม” กับบริษัทที่มีปัญหาอื่นๆ  เพราะไม่มีบริษัทดีหรือใหญ่พอที่จะเข้ามาช่วยควบรวมหรือเพิ่มทุนให้ ว่าที่จริงบริษัทใหญ่ๆ  รวมถึงแบงก์ก็กำลังจะ “ตาย”  แนวคิดเรื่องบริษัทที่อ่อนแอมารวมกันเ พื่อให้เกิดความแข็งแรงนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเมื่อมองย้อนกลับไป  แต่ในขณะนั้นเราไม่รู้และไม่เข้าใจ

 สุดท้ายบริษัทก็ล่มสลาย  ในขณะที่แบงก์ส่วนใหญ่ก็รอดเพราะรัฐบาลปล่อยให้ล้มไม่ได้  ประเทศเริ่มต้นใหม่และเจริญเติบโตต่อไปจนถึงวันนี้และไม่ได้มีวิกฤติแบบปี 2540 อีกเลย โดยเฉพาะในภาคของการเงินที่มีการจัดระบบและการบริหารที่เข้มงวด แบงก์มีการสะสมทุนเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดจนสูงกว่ามาตรฐานมาก  พร้อมกับการทำงานอย่างอนุรักษ์นิยม  ซึ่งทำให้ผมเชื่อว่า  วิกฤติการเงินจากต่างประเทศรอบนี้  จะไม่มีผลอะไรกับสถาบันการเงินของไทยอย่างแน่นอน