กฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติทางภาษีระหว่างประเทศ กับผลกระทบต่อผู้เสียภาษีไทย

ตั้งแต่ปี 2560 ที่ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกตามกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD)
ในการป้องกันการหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงภาษี และให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีเป็นไปตามมาตรฐานสากล หรือที่เรียกว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติฯ Common Reporting Standard (CRS) ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีทางการเงินของผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในประเทศไทยให้กับประเทศคู่สัญญาในประเทศภาคี CRS โดยอัตโนมัติเป็นรายปี ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก Global Forum ในลำดับที่ 139 (จากทั้งหมด 165 ประเทศ)
ประเด็นสำคัญของการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีระหว่างประเทศ คือ
1. ข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันถือเป็นข้อมูลทางการเงินฯ ตามที่ OECD โดยเฉพาะสินทรัพย์ทางการเงิน มิใช่ สินทรัพย์ถาวร
2. มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องร้องขอผ่านการรายงานของสถาบันการเงินต่อหน่วยงานกำกับดูแลด้านภาษีระหว่างประเทศภาคี CRS
3. สถาบันการเงินในไทย (“FI ในไทย”) จะรายงานข้อมูลของผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษี Tax resident ของประเทศภาคี CRS และนำส่งข้อมูลทางการเงินของบุคคลดังกล่าวให้แก่กรมสรรพากรไทย เพื่อกรมสรรพากรไทยจะได้นำไปใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับกรมสรรพากรในประเทศภาคี CRS
ในทางกลับกันสถาบันการเงินในต่างประเทศ (“FI ในประเทศภาคี CRS”) ดังกล่าวก็มีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลของผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในไทยต่อกรมสรรพากรประเทศนั้นๆ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกรมสรรพากรไทยเช่นเดียวกัน
4. สำหรับกรณีคนไทยซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเปิดบัญชีกับทางสถาบันการเงินไทย กรณีนี้จะไม่ถูกรายงานและส่งข้อมูลต่อกรมสรรพากรไทย เนื่องจากไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศภาคี CRS
5. สถาบันการเงินมีหน้าที่ในการทำ KYC ลูกค้าของตนเองเพื่อให้ได้ข้อมูลว่าลูกค้าเป็น Tax resident ของประเทศภาคี CRS หรือไม่ซึ่งแนวทางการพิจารณาด้านถิ่นที่อยู่ทางภาษีจะพิจารณาจากตัวบ่งชี้ (indicia) เช่น ที่อยู่ตามไปรษณีย์/ที่พักอาศัยปัจจุบัน หมายเลขโทรศัพท์ 1 หมายเลขขึ้นไปในรัฐคู่สัญญา (ไม่ปรากฎหมายเลขในไทย) เป็นต้น
ตาม “พระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 31 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ในส่วนที่เป็นการรายงาน (Reporting) กำหนดให้ผู้ที่มีหน้าที่ต้องรายงาน ได้แก่ สถาบันการเงินรวมถึงสถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น, บริษัทหลักทรัพย์ฯ, ผู้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตฯ, ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตฯ, ทรัสตีตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน เป็นต้น และกำหนดข้อมูลบัญชีการเงินที่ต้องรายงาน ได้แก่
· ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี วัน เดือน ปีเกิด สถานที่เกิด
· ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีทางการเงิน ได้แก่ เลขที่บัญชี/ยอดเงินในบัญชีหรือมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์, ดอกเบี้ยที่ได้รับหรือผลประโยชน์อื่นใดตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
· ข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีหน้าที่รายงาน ได้แก่ ชื่อและหมายเลขระบุตัวตนของผู้มีหน้าที่รายงาน
ประเด็นเรื่องข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง CRS และ FATCA นั่นคือ CRS จะพิจารณาถิ่นที่อยู่ทางภาษี ขณะที่ FATCA จะพิจารณาสัญชาติว่าผู้ถือบัญชีมีสัญชาติ US หรือไม่ควบคู่ไปกับถิ่นที่อยู่ทางภาษี
ในมุมผลกระทบต่อธุรกิจสถาบันการเงินผู้มีหน้าที่ต้องรายงาน
· มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า (due diligence) เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าลูกค้าเป็น Tax resident หรือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ทางภาษีของประเทศภาคี CRS หรือไม่และรายงานข้อมูลตามกฎหมายกำหนด
· เตรียมความพร้อมด้านขั้นตอนและระบบงานเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมาย
· ประเทศไทยได้กำหนดที่จะเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลครั้งแรกภายในเดือนกันยายน 2566
สำหรับประเภทบัญชีบุคคลธรรมดาที่เปิดอยู่แล้ว (Preexisting Individual Accounts) ยอดรวม หรือ มูลค่ารวม > USD 1,000,000 ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565
ในมุมผลกระทบต่อนักลงทุนหรือผู้ที่มีทรัพย์สินในต่างประเทศ
· ควรทำความเข้าใจว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินที่ทำให้กรมสรรพากรระหว่างประเทศภาคี CRS เข้าถึงข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาต่อว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้หรือไม่ จึงไม่ใช่การออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากการลงทุนแต่อย่างใด
· ทั้งนี้ นักลงทุนหรือผู้ที่มีทรัพย์สินในต่างประเทศควรจัดเก็บข้อมูลบัญชีและภาษีในส่วนของตนเอง เพื่อพร้อมชี้แจงข้อมูลหากถูกขอตรวจสอบและสามารถอธิบายข้อมูลทางบัญชีและภาษีของตนได้