เข้าสู่ไตรมาส 4 เข้าสู่ยุคใหม่
เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เรามีมุมมองต่อภาพเศรษฐกิจและการลงทุนในไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องปี 2025 ใน 3 ประเด็นหลัก (1) เศรษฐกิจเปลี่ยนยุค (2) ดอกเบี้ยเปลี่ยนยุค และ (3) การเมืองเปลี่ยนยุค
เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เรามีมุมมองต่อภาพเศรษฐกิจและการลงทุนในไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องปี 2025 ใน 3 ประเด็นหลัก กล่าวคือ :
(1) เศรษฐกิจเปลี่ยนยุค: ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวพร้อมเพรียง (Synchronized recovery) แต่ในไตรมาส 4 เริ่มเห็นทิศทางเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วชะลอลง โดยเฉพาะภาคการผลิต (Late cycle) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเอเชียชะลอลงใน 3-6 เดือนข้างหน้า
(2) ดอกเบี้ยเปลี่ยนยุค: ธนาคารกลางสำคัญของโลก เช่น ยุโรป อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ และสวีเดน เริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว และธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็เริ่มลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกหลังช่วงถึง 0.5% (p.p.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% (p.p.) ปีนี้ และอาจลด 1.0% (p.p.)ปีหน้า
(3) การเมืองเปลี่ยนยุค: การเลือกตั้งในสหรัฐมีผลต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก โดยการเปลี่ยนประธานาธิบดี จากไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีแฮริสหรืออดีตประธานาธิบดีทรัมพ์จะมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐและโลกมาก เนื่องจากทั้งสองมีแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต่างกัน โดยแฮริสมีนโยบายเอื้อกับประชาชนแต่ไม่เป็นคุณกับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะจะขึ้นภาษีนิติบุคคล ขณะที่ทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจผ่านการลดภาษีนิติบุคคล แต่จะทำสงครามการค้ารุนแรงขึ้น ทั้งนี้ เรามองว่า ไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี การผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้เป็นไปได้ยากเนื่องจากเกิดความเสี่ยง “สภาแตก” หรือการที่สภาสูง สภาล่าง และประธานาธิบดีเป็นคนละพรรคกัน นอกจากนั้น ความเสี่ยงสงครามเย็นกับจีน (China derisking) จะยังอยู่ ทำให้ความเสี่ยงการค้าโลกมีมากขึ้น
ในส่วนของผลกระทบของนโยบายการเงินโลก การที่สหรัฐลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว (เราคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 0.25% (p.p.) ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2025 และชะลอเหลือไตรมาสละครั้งในครึ่งหลังของปี) ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะลดดอกเบี้ยช้าและน้อยกว่า จะก่อให้เกิดความผันผวนทางการเงิน โดยในส่วนผลตอบแทนพันธบัตร เส้นผลตอบแทนที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ (Normal Yield Curve) จากภาวะกลับทิศ (Inverted Yield Curve) เป็นผลจากการที่ตลาดเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยเร็ว ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า Bull Steepening ซึ่งสภาวะเช่นนี้ในอดีตแล้ว จะไม่เป็นคุณต่อสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน การที่ Fed ลดดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่า ธ. กลางอื่น ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น เช่น เยน ยูโร และเงินบาท ที่จะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ในส่วนมุมมองเศรษฐกิจโลก-ไทยในปี 2024-25 เรามองว่า เศรษฐกิจสหรัฐนั้น แม้ขยายตัวดีเกินคาด แต่ Momentum จะชะลอลงในระยะต่อไป (Soft-landing) ต่อเนื่องปี 2025 ด้านเศรษฐกิจยุโรป แม้จะเริ่มดีขึ้น แต่อัตราเติบโตน้อยกว่าสหรัฐ ขณะที่เศรษฐกิจจีน จะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราปรับลดประมาณการลงจาก 5.0% สู่ 4.8%
ด้านเศรษฐกิจไทยนั้น ในครึ่งแรกของปี 2024 ชะลอลงมากจากเศรษฐกิจในประเทศ ผลจากนโยบายการเงิน-คลังตึงตัว เห็นได้จากการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ต่ำกว่าเป้าจากงบประมาณที่ล่าช้า และการลงทุนภาคเอกชนรวมถึงการบริโภคสินค้าคงทนของประชาชนที่หดตัว ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว และมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ทำให้สินเชื่อหดตัวตลอดครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แต่การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีทำให้ปลดล็อคโครงการ Digital Wallet ทำให้เศรษฐกิจที่ชะลอลงในไตรมาสที่ 2-3 กลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 โดยจะขยายตัว 3.5% ดีขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าที่ 2.9% และทำให้ทั้งปี 2024 ขยายตัวได้ 2.5% ส่วนในปี 2025 เศรษฐกิจจะได้ปัจจัยบวกจากมาตรการการเงินการคลัง โดยการเบิกจ่ายงบลงทุนจะเติบโตได้อย่างน้อย 10.5% ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสลดได้ 1.0% (p.p.) ในปี 2024-25 แต่การส่งออกมีความเสี่ยงชะลอตามเศรษฐกิจสหรัฐและจีนที่ชะลอลง และทำให้ทั้งปี 2025 ขยายตัวที่ 3.0%
ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน เรามองว่า ตลาดจะมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 โดยได้ผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่จะลดลง ซึ่งจะทำให้ตลาดเกิดใหม่เติบโตดีเมื่อเทียบกับตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะช่วยทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่และไทย นอกจากนั้น นโยบายรัฐบาลใหม่ เช่น Digital Wallet กองทุนวายุภักษ์ และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 จะช่วยเอื้อต่อการลงทุนได้ระดับหนึ่ง
ภาพเหล่านี้จะทำให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเป็นหลัก ที่ได้รับปัจจัยบวกจากแรงสนับสนุนด้านนโยบาย และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง จะสามารถลดผลกระทบจากความผันผวนภายนอกและค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่าได้ เราแนะนำ BDMS, CPALL, HANA และ LHHOTEL เป็นหุ้นเด่นในไตรมาสนี้ โดยมีเป้าสำหรับ SET Index ที่ 1,500 จุด ในปี 2024 และ 1,550 จุดในปี 2025 ตามลำดับ
ขอให้นักลงทุนโชคดี
- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน
โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher
#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้