ท่องเที่ยวฟื้น เลือกตั้งชัด หนุนบรรยากาศหุ้นไทย

ส่วนเรื่องการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกก็ยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งประเทศไทย ส่วนปัจจัยเรื่องการประกาศยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปก็ถือเป็นสีสัน ทำให้บรรยากาศการลงทุนในประเทศไทยคึกคักขึ้น เรามาขยายความกันทีละประเด็นเลยครับ

มาเริ่มที่ต่างประเทศ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐ ทำให้นักลงทุนต่างหวาดกลัวว่าจะเกิดกับวิกฤติสภาพคล่องในระบบธนาคารของสหรัฐ หลังบริษัท Start up และ Tech firm ต้องการใช้เงิน และมีการไถ่ถอนเงินฝากที่ฝากไว้กับธนาคารเหล่านี้อย่างเร่งด่วน

ทำให้สถาบันการเงินบางแห่งเตรียมการไม่ทัน หรือต้องระดมขายพันธบัตรที่ถือครองในระดับที่เกิดผลขาดทุน ก่อให้เกิดความกังวลว่าจะมีปัญหาการไหลออกของเงินฝาก และสภาพคล่องไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม FED และกระทรวงการคลังของสหรัฐก็เข้ามาเพิ่มสภาพคล่องและเข้าประกันเงินฝาก ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงภายในสัปดาห์

ขณะเดียวกันความกังวลลักษณะคล้ายกันก็เกิดขึ้นในฝั่งยุโรปกับ ธนาคาร Credit Suisse ซึ่งเป็นธนาคารอันดับ 2 ของประเทศ สวิสเซอร์แลนด์  เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาฐานะการเงินอ่อนแอ และความยากลำบากในการเพิ่มทุน

 

โดยผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง Saudi National Bank ประกาศว่าจะงดการสนับสนุนทางด้านการเงินเพิ่มเติม เมื่อมาประกอบกับความเห็นของผู้ตรวจสอบบัญชีก่อนหน้านี้ที่ลงความเห็นว่าระบบตรวจสอบควบคุมภายในธนาคารมีจุดบกพร่องอย่างสำคัญ 

ทำให้ราคาหุ้นของธนาคารปรับตัวลงสู่ระดับต่ำที่สุด และลามไปสู่ราคาหุ้นกู้ AT1( Additional Tier 1 หรือ CoCo Contingents Convertable Bond หุ้นกู้แปลงสภาพแบบมีเงื่อนไขที่ออกโดยสถาบันการเงิน เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ถูกออกแบบมา เพื่อป้องกันความล้มเหลว

โดยมีกลไกในการแปลงหนี้เป็นทุนอัตโนมัติ เมื่อตรงตามเงื่อนไขบางอย่าง เช่น หากสถาบันการเงินมีปัญหา สัดส่วนเงินทุนลดต่ำลงกว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ถือหุ้นกู้ดังกล่าวกลับโดนลดชั้นไปต่ำกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ โดยวงเงินความเสียหายอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ จากตลาด AT1 ในยุโรปทั้งหมดที่ 2.75 แสนล้านดอลลาร์

 สุดท้ายก่อนความเสียหายจะรุนแรง ธนาคารกลางสวิส ได้ขอให้ ธนาคารUBS ซึ่งเป็นธนาคารอันดับ 1ของสวิสฯ เข้าซื้อกิจการของ ธนาคาร Credit Suisse ในวงเงิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ โดยในข้อตกลงนี้ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ได้จัดสรรเงินกู้ยืมจำนวนสูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ยังได้อนุมัติเงินค้ำประกันจำนวนสูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์ ทำให้สถานการณ์เริ่มสงบลงได้ 

แต่ก็ยังมีประเด็นเรื่อง AT1 ต่อเนื่องไปถึง CDS Spread( Credit Default Swap คือส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาคเอกชน (ที่เพิ่มขึ้นมาจากพันธบัตรรัฐบาล เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น โดยเปรียบเทียบระหว่างตราสารที่มีอายุคงเหลือ ใกล้เคียงกัน) ของ Deutsche Bank ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และส่งผลต่อบรรยากาศลงทุนทำให้เกิดแรง เทขายในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร เช่น ตราสาร AT1 และหุ้น 

ท้ายสุด ของปัจจัยต่างประเทศ คือ Fed ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.75 ถึง 5.00% โดยกล่าวถึงประเด็นปัญหาของธนาคารขนาดกลาง ในสหรัฐฯว่า อาจนำมาสู่ภาวะสินเชื่อตึงตัว ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกในรอบนี้ที่โดดเด่นสุดของไทย คือ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว เพราะตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงประมาณเกือบปลายเดือนนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า 5 ล้านคน ก.พ. เดือนเดียวมีเข้ามากว่า 2 ล้านคน เรื่องที่ 2 คือการประกาศยุบสภา และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค.นี้ 

สุดท้าย กนง. ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% ซึ่งมองว่า อาจจะเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีการระบุถึงความกังวลที่มีต่อแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐาน พร้อมมีการปรับเพิ่มคาดการณ์การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และสมมติฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทั้งหมดนี้ทำให้ บรรยากาศการลงทุนในเดือนเม.ย.น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี จากภาพการท่องเที่ยว และปรากฏการณ์ Election rally น่าจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ดีกลุ่มหุ้น Domestic play ที่มักจะปรับตัวได้ดีในช่วงปรากฏการณ์ Election rally ทุกๆครั้ง อาทิ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ และกลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น