Stocks Challenge-เกมดวลหุ้น

วันที่ 1 ม.ค. ปี 2008 บัฟเฟตต์ประกาศ “ท้าพนัน” คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งเขาบอกว่าตั้งค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน “แพงเกินความสามารถ” และส่วนใหญ่ก็จะใช้สูตร “2-20” คือค่าธรรมเนียมแน่นอนที่ 2% ต่อปีของเงินกองทุนหรือ NAV  และอีก 20% ของกำไรในแต่ละปี 

โดยที่บัฟเฟตต์ท้าว่า  ผลตอบแทนของเฮดจ์ฟันด์จะแพ้ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนอิงดัชนีที่ไม่ต้องมีคนเลือกหุ้น  และเขาเลือกกองทุน S&P500 ของแวนการ์ดกรุปที่คิดค่าธรรมเนียม “ต่ำที่สุด” ที่ 0.04% ต่อปี

คนที่รับคำท้าคือ Ted Seides ผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน Protégé ซึ่งเป็น “Fund of Fund” คือกองทุนที่ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์อื่น ๆ  โดย จะมีการวัดผลตอบแทนเมื่อครบ 10 ปี ตอนสิ้นปี 2017  เงินพนันคือ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ  และนี่ก็คือเรื่องที่จะ  “ท้าพิสูจน์” ว่า ระหว่างการลงทุนแบบ “Active” หรือการลงทุนที่อาศัยการเลือกหุ้นของ “เซียน” ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูง  กับการลงทุนแบบ “Passive” ที่มีค่าธรรมเนียมการบริหารต่ำ  แบบไหนจะให้ผลตอบแทนดีกว่ากันในระยะยาว  คือ  10 ปี

 

การเดิมพันเริ่มขึ้นไม่นาน  สถานการณ์ตลาดหุ้นก็พลิกผัน  ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ดัชนี S&P ลบไป 37% แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ลบลงเพียง 23.9%  แต่หลังจากนั้นกองทุน S&P 500 ก็เอาชนะมาได้ทุกปีจนถึงปี 2014  โดยที่ NAV หรือมูลค่าสุทธิของกองทุน S&Pกลับมานำได้ตั้งแต่ปี 2012 หรือพูดง่าย ๆ  กองทุนเฮดจ์ฟันด์ “ชนะ” ในช่วงแรกแค่ 4 ปี

ปี 2015 เฮดจ์ฟันด์กลับมาทำได้ดีกว่า S&P500  ทำผลตอบแทนได้ 1.7% เทียบกับ 1.4%  แต่ปี 2016 หุ้นฝั่งบัฟเฟตต์กลับเติบโต 7.1% เทียบกับ 2.2% ของเฮดจ์ฟันด์  พอถึงสิ้นปี 2017 วันสิ้นสุดการแข่งขัน  ผลตอบแทนโดยรวมของเฮดจ์ฟันด์คือ 22%  ในขณะที่กองทุนดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนรวมถึง 85.4% เป็นชัยชนะที่  “ขาดลอย” ของการลงทุนแบบ Passive เหนือ Active  เงิน 1 ล้านเหรียญที่ได้รับ  บัฟเฟตต์ยกให้กับชมรม  “เพื่อนของผลตอบแทนรวมสูงสุดสำหรับเด็ก”

ฝ่ายของเฮดจ์ฟันด์นั้นยอมรับความพ่ายแพ้  แต่ก็บอกว่าน่าจะเป็นผลจากการที่หุ้นสหรัฐดีมากหรืออาจจะเป็นปีทองหลังวิกฤติ  ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่มีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมาก  ไม่ได้เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมอะไรมากนัก

ผมเขียนเรื่องนี้แม้ว่าการเดิมพันจบไปนานแล้ว  แต่ก็รู้สึกว่าตอนนี้ในใจผมเกิดความรู้สึก  อยากเดิมพันกับความคิดของผมว่า  “หุ้นแบบไหนหรือหุ้นที่ไหนจะมีผลงานที่ดีที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า” 

การมีความคิดในเรื่องของการพนันนั้น อาจจะช่วยให้เราตื่นตัวและตระหนักถึงประเด็นได้ดีกว่าการอยู่เฉยๆ  นอกจากนั้นมันก็คงสนุกดีถ้ามีคนอื่นมาพนันด้วย  อย่างน้อยก็อาจจะช่วยลดความน่าเบื่อหน่ายสำหรับนักลงทุนหลายๆ  คนที่  “ไม่รู้จะทำอะไร  เล่นไปก็หาวนอนไป” เพราะหุ้นเงียบเหงา  ไม่ขึ้นไม่ลงมาหลายปีแล้ว

เดิมพันที่ผมคิดก็คือ  ในอีก 10 ปีข้างหน้า  ระหว่างกองทุนรวมหุ้นทั้งที่อิงดัชนีและกองทุนแบบแอคทิฟฟันด์  และกองทุนสมมุติที่ผมตั้งขึ้น  ดังต่อไปนี้  กองไหนที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุด?

กองทุนแรกนั้นผมจะให้เป็นกองทุนอิงดัชนีและคิดคำนวณแบบคร่าวๆ  จากตัวดัชนีเลยก็คือ  ดัชนี SET หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งล่าสุดวันที่ 29 ก.ค. 2566 อยู่ที่ 1,543 จุด  อีก 10 ปีคือ ประมาณวันที่ 29 ก.ค.2576 จะอยู่ที่เท่าไรและให้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์

กองทุนที่ 2 และ 3 ซึ่งก็คิดจากตัวดัชนีเป็นหลักก็คือ  ดัชนี S&P500 ที่เริ่มจาก 4,582 จุด  และดัชนี NASDAQ Composite ที่เริ่มที่ 14,316 จุด ในวันเดียวกัน  และนี่ก็คือกองทุนของสหรัฐที่เป็นกองทุนของบริษัทที่มักจะมีธุรกิจทั่วโลกและเติบโตไปกับโลก

กองทุนที่ 4 และ 5 ก็คือกองทุนอิงดัชนีของจีนและเวียดนามที่อยู่ใกล้บ้านเราและมีคนไปลงทุนค่อนข้างมากในปัจจุบัน    ของจีนนั้นผมจะใช้ตลาดฮ่องกงคือดัชนี  HANG SENG ที่ 19, 916 จุด และนี่ก็คือบริษัทของจีนที่กำลังจะก้าวขึ้นมาท้าทายสหรัฐใน 10 ปี รวมถึงราคาหุ้นที่  “ถูกมาก” สำหรับหลาย ๆ  คนในปัจจุบัน   ในส่วนของเวียดนามก็คือ  VN Index ที่ 1,207 จุด ซึ่งก็จะเป็นตัวแทนของประเทศที่กำลังเป็น  “ดาวรุ่ง” ในทศวรรษที่กำลังถึงนี้

กองทุนที่ 6 คือกองทุนกึ่ง Active ที่น่าสนใจและมีคนไปลงทุนพอสมควรก็คือ  “กองทุน Diamond” ของตลาดหุ้นเวียตนามที่มีราคา 26,290 ด่อง และนี่คือหุ้นเวียตนามที่เป็นที่นิยมสูงมากของนักลงทุนต่างชาติซึ่งทำให้เราหาซื้อหุ้นได้ยากและต้องจ่ายในราคาแพงกว่าราคาตลาด

องทุนสุดท้ายก็คือกองทุนแบบที่ผมเลือกเองที่ตั้งใจให้เป็นแนวหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก”  โดยหุ้นที่เลือกประกอบไปด้วยหุ้น 8 ตัวดังต่อไปนี้ คือ  หุ้นตัวใหญ่ 4 ตัว  ประกอบไปด้วยหุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ราคาปัจจุบันคือ  84,400 ด่อง  หุ้น REE ที่เป็นโฮลดิ้งทำธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า  น้ำ  และระบบไฟฟ้าและความเย็นในอาคารขนาดใหญ่ ที่ 68,000 ด่อง หุ้น MWG ที่ทำธุรกิจค้าปลีกมือถือและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ที่ 54,500 ด่อง  และตัว ETF หรือกองทุน Diamond ที่ 26,290 ด่อง  โดยที่ทั้ง 4 ตัวนี้  จะมีน้ำหนักตัวละ 20% ของพอร์ต

และหุ้นขนาดกลางอีก 4 ตัวคือ ACV หรือหุ้นสนามบินเกือบทั้งหมดของเวียดนามที่ราคาปัจจุบันที่ 79,600 ด่อง หุ้น VRE หรือหุ้นที่ทำช็อปปิงมอลให้เช่าทั่วประเทศที่ราคา 28,800 ด่อง  หุ้น VSH ที่ผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนขนาดใหญ่ ที่ 44,900 ด่อง และหุ้น NT2 ที่เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ที่ราคา 29,250 ด่อง โดยที่แต่ละตัวจะมีสัดส่วนตัวละ 5% ของพอร์ต

พอร์ตหุ้นซุปเปอร์สต็อกนี้สามารถปรับได้ปีละหนซึ่งผมจะพยายามบอกให้ทราบ  แต่ความตั้งใจก็คือ  น่าจะคงอยู่ประมาณ 5 ปีโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร  และจะถือไปจนครบ 10 ปีเพื่อที่จะสรุปว่าพอร์ตโตขึ้นเป็นเท่าไร  ซึ่งก็จะเป็นวันที่สรุปว่าพอร์ตไหนใน 7 พอร์ตจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันหรือการเดิมพันการเลือกหุ้นลงทุน

สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจก็คือ  นี่ไม่ใช่การชักชวนให้ซื้อหุ้นหรือกองทุนอะไรทั้งนั้น  แม้ว่าผมเองก็ถือหุ้นดังกล่าวอยู่ด้วยอย่างมีนัยสำคัญและใกล้เคียงกับที่เสนอในพอร์ตที่จะใช้เดิมพัน  ความเป็นจริงก็คือ  หุ้นทั้งหมดนั้นเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่  หลายตัวมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาทและทุกตัวมี Free Float สูงมาก  การที่จะมีใครไปทำราคาหรือแรงซื้อจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะไปทำให้ราคาเบี่ยงเบนไปจากพื้นฐานที่แท้จริงนั้น  เป็นไปไม่ได้เลย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  นี่เป็นพอร์ตที่จะถือเป็นระยะเวลายาวนานมาก  ไม่มีการซื้อขายในระยะสั้นหรือแม้แต่ในระยะเวลาเป็นปี

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  ผมจะไม่พนันกับใครเหมือนอย่างที่บัฟเฟตต์ทำ  แต่ที่จริงผมก็พนันอยู่แล้วกับตลาดและตัวหุ้น  ถ้าพอร์ตหุ้นที่ผมเลือกโตขึ้นเหนือกว่าพอร์ตอื่น  ผมชนะหรือกำไรอยู่แล้ว  เช่นเดียวกัน  ใครก็ตามที่อยากจะพนัน  ก็ทำได้อยู่แล้วโดยการลงทุนในพอร์ตที่เห็นว่าน่าจะชนะในระยะยาว  ไม่ต้องมาพนันกับผม

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ  การวัดผลงานการเดิมพันในครั้งนี้  ผมจะยึดถือผลตอบแทนเป็นเงินบาทเสมอ  และเพื่อเป็นสถิติที่ไม่ต้องกลับไปค้นอีก  อัตราแลกเปลี่ยนวันนี้คือ  34.44 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์  อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ฮ่องกง เท่ากับ 4.37 บาท  และเงินเวียตนาม 1 ด่อง เท่ากับ 0.001442 บาท หรือ 1000 ด่องเท่ากับ 1.442 บาท

ว่าที่จริง “เกมดวลหุ้น” ครั้งนี้ทุกคนสามารถที่จะเสนอหุ้นหรือกองทุนอื่นๆ  เข้ามาร่วมได้  ตัวอย่างเช่น  อาจจะมีคนอยากที่จะ “ท้าทาย” ด้วยหุ้นอินเดียหรืออินโดนีเซีย  บางคนอาจจะเสนอหุ้นยักษ์ที่เป็นเมกะเทรนด์โลก 10 ตัวที่มีกองทุนบริหารอยู่  น่าสนุกครับ  แม้ว่าอาจจะต้องเล่นหรือรอนานมากกว่าเกมจะจบ