SET Index จะผ่านจุดต่ำสุดหรือไม่ หากความเชื่อมั่นหายไป?

SET Index จะผ่านจุดต่ำสุดหรือไม่ หากความเชื่อมั่นหายไป?

ในช่วงประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่เข้ามากดดันไม่หยุดหย่อน ณ วันนี้ ที่ SET Index ปรับตัวลงมาที่ระดับประมาณ 1,400 ต้น ๆ เรียกได้ว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างถูกในรอบหลายปี เป็นจังหวะที่นักลงทุนควรทยอยซื้อเพื่อสะสม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจัยลบต่าง ๆ ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว และเริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามามากขึ้น แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Naked Short Sale กลายเป็นประเด็นที่กำลังถูกพูดถึงกันอย่างหนาหู ก็เข้ามากระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราอีกครั้ง ดังนั้น แม้ว่าตลาดจะมีปัจจัยบวกเข้ามา แต่หากนักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่น ก็อาจจะยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ดีเท่าที่ควร

ก่อนหน้านี้บรรยากาศการลงทุนบ้านเราดูจะไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก อันเนื่องมาจากทั้งปัจจัยภายในประเทศเราเองและปัจจัยภายนอก โดยปัจจัยในประเทศที่ส่งผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังไม่มีความชัดเจน เหตุการณ์ที่พารากอนที่ยิ่งกดดันบรรยากาศการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของไทยให้ไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่ได้อย่างที่คาดหวัง

 

นอกจากนี้ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่อย่าง Digital Wallet ก็กินเวลาไปกว่า 2 เดือนก่อนจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ในส่วนของปัจจัยภายนอก ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอที่ตัวเลขหลายตัวออกมาค่อนข้างแข็งแกร่ง ทำให้แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบมายังหุ้นไทยบ้าง มาในวันนี้คาดว่าเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไปส่วนใหญ่ได้สะท้อนลงไปที่ราคาหุ้นทั้งหมดแล้ว ดังนั้น หากมองไปข้างหน้า จะมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่สนับสนุนหรือเป็นที่น่ากังวล

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังต่อตลาดหุ้นมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการส่งสัญญาณการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ที่ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.5% และเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มปรับตัวลดลง ส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นและพันธบัตรกว้างมากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังมีความคาดหวังว่าจะสามารถฟื้นตัวได้มากขึ้น

             

ดย ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 น่าจะเติบโตได้ 4.4% ด้วยแรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐและเอกชน การส่งออกที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยล่าสุดการส่งออกของไทยก็เริ่มเห็นการฟื้นตัว โดยปรับตัวดีขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน  นอกจากนี้ ยังมีนโยบายหลักๆ อย่าง Digital Wallet ที่ล่าสุดได้เห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว การท่องเที่ยวมีทิศทางที่ดีขึ้น นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์พารากอน และการจัดตั้งกองทุน THAI ESG ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการลงทุนหุ้นไทยอยู่บ้าง

สำหรับปัจจัยจากต่างประเทศ ด้านสหรัฐเองก็มีตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลง และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว ทำให้คาดการณ์ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed น่าจะคงอยู่ในระดับสูงได้อีกไม่นาน ก่อนที่จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงประมาณกลางปีหน้า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกมาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยอยู่มาก แต่สำหรับปีนี้ในช่วงที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าตลาดหุ้นเจอกับปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นมาไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัท ปัญหาธรรมาภิบาลขององค์กร และปัญหาการเมือง ทำให้เงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ เหตุการณ์ล่าสุดที่มีการพูดถึง Naked Short Sale ว่าเป็นเหตุให้หุ้นปรับตัวลง ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นต่อการลงทุนในหุ้นไทย และยังไม่อยากจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้จะมีปัจจัยบวกคอยสนับสนุน แต่ตลาดหุ้นไทยก็ติดลบมากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในโลก

อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าวของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. ทั้งการตรวจสอบอย่างเข้มงวด การให้ข้อมูลที่มากขึ้น การสื่อสารต่อตลาด รวมถึงการชี้แจงกรณีที่ตลาดผิดปกติ น่าจะช่วยคลายความกังวลแก่นักลงทุนได้บ้าง ซึ่งหากนักลงทุนไทยเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และปัจจัยแวดล้อมดูดีขึ้น ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้