กลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความผันผวนภูมิรัฐศาสตร์และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด

กลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความผันผวนภูมิรัฐศาสตร์และแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด

EPS Growth ของบริษัทจดทะเบียนในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง หุ้นที่ปรับตัวลดลง จึงเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้

ในการประชุม FOMC ในวันที่ 30 เม.ย. - 1 พ.ค. 2024 คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับ 5.25% - 5.50% ตามตลาดคาดการณ์ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2% ในมุมมองของเรา คณะกรรมการมองเห็นเศรษฐกิจและตลาดงานที่แข็งแกร่ง สอดคล้องกับมุมมองของ IMF ในรายงานเดือน เม.ย. 2024 คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตขึ้นถึง 2.7% ในปี 2024 ซึ่งอาจส่งผลให้ Fed มีแนวโน้มแสดงท่าทีที่ใช้นโยบายเข้มงวดมากขึ้นหลังจากนี้ โดยอาจใช้คำแถลงการณ์ของคณะกรรมการคอยชี้นำ (Forward Guidance) แต่ด้วยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เราคาดการณ์ว่า EPS Growth ของบริษัทจดทะเบียนในปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง หุ้นที่ปรับตัวลดลง จึงเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้

ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วง 1Q24 ที่ทยอยรายงานออกมาโดยส่วนใหญ่ดีกว่าที่ตลาดคาด ยกตัวอย่างเช่นบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในดัชนี S&P 500 อิงจากการรวบรวมข้อมูลของ FactSet ณ วันที่ 26 เม.ย. 2024 ซึ่งมีการรายงานกำไรแล้วราว 46% ของบริษัททั้งหมด พบว่าผลประกอบการของบริษัทที่รายงานออกมาแล้วดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 60% และมี Guildline ต่อแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2024 ที่ดี นอกจากบริษัทจะเบียนสหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีในภูมิภาคอื่นเช่น ไต้หวัน (TSMC) เกาหลีใต้ (SAMSUMG, SK HYNIX) ยุโรป (ASML) ต่างมีผลประกอบการที่ดี ซึ่งเราประเมินว่าหุ้นในกลุ่มนี้มีศักยภาพในการเติบโตและมีความทนทานต่อต้นทุนทางการเงินที่สูง

เรายังคงชื่นชอบตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียมีขนาดเป็นอันดับ 3 ของโลกภายในทศวรรษนี้ ขณะที่ในระยะสั้นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียปี 2024 เป็น 6.8% ในเดือน เม.ย. 2024 จาก 6.5% ในช่วงต้นปี 2024 และเราเชื่อว่า พรรคชาตินิยมของชาวฮินดู ภารติยะ ชนะตะ หรือ บีเจพี (Bharatiya Janata Party - BJP) ของนายโมดี และพันธมิตร จะชนะการเลือกตั้ง เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน จากงานสัมมนา Investing in India's Growth: Leveraging Geopolitical Stability for Equity Success ซึ่งจัดโดย Pine Wealth Solution ณ วันที่ 30 เม.ย. 2024 ได้มีการกล่าวถึงประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ของอินเดียว่า อินเดียมีความโดดเด่นในยุทธศาสตร์ทางทะเลโดยได้รับประโยชน์จาก ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific) ที่นำโดยสหรัฐฯ และด้วยอิทธิพลของอินเดียในภูมิภาคในมหาสมุทรอินเดีย จึงมีความสามารถในการต่อรองและมีความสัมพันธ์ที่ดีได้กับทุกประเทศ บนหลักการที่โลกยอมรับ ดังนั้น เรามองว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นอินเดีย ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นระหว่างการเลือกตั้งทั่วไป ในระยะสั้น จะเป็นโอกาสสำหรับการเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดมีการย่อตัว ขณะที่ในระยะยาว เราแนะนำทยอยซื้อสะสม หรือ พิจารณา DCA เพื่อเฉลี่ยต้นทุนในการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย

เมื่อพูดถึงประเด็นความภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปี 2024 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ให้เห็นมากขึ้น และมีโอกาสเกิดขึ้นในหลายภูมิภาค แต่เหตุการณ์เหล่านั้นมีแนวโน้มไม่ยกระดับ หรือขยายตัวเป็นวงกว้าง เรามองว่าสงครามที่ไม่บานปลาย และมีแนวโน้มไม่ถูกยกระดับ อาจไม่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากเหมือนครั้งก่อน แต่ความไม่แน่นอนในช่วงครึ่งหลังของปีที่มีการเลือกตั้งของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากกว่าจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยทรัมป์ได้เป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจได้รับการรับเลือกอีกครั้ง ซึ่งมีแนวโน้มใช้นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีน และสร้างความไม่แน่นอนด้านความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024

นอกจากนี้ เราเห็นการเข้าซื้อทองคำของบรรดาธนาคารกลางของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) นำโดยธนาคารกลางจีนที่มีการเข้าซื้อทองคำติดกันถึง 17 เดือน ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ต้องลดสัดส่วนการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯในทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยมีหลายเหตุผล เช่น การเตรียมการเพื่อสนับสนุนกลุ่ม BRICS ซึ่งอาจมีการใช้สกุลเงินร่วมกันในอนาคต อีกทั้งการสะสมทองคำของจีนอาจเป็นสัญญาณที่ต้องการลดความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะใช้เครื่องมือทางการเงินในการตอบโต้ความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เช่นเดียวกับที่เคยทำกับรัสเซียในปี 2022 ด้วยเหตุนี้เราจึงมีมุมมองว่า ธนาคารกลางต่างๆในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ มีโอกาสเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องในภาวะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อยู่ในระดับสูง ในด้านการลงทุนเราจึงแนะนำว่า ควรมีการลงทุนในทองคำประมาณ 5% ของพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์