ตลาดหุ้นไทย ยังไปต่อได้อีกไหม
ปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหลัก ๆ คงเป็นการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนดูมีความเชื่อมั่นได้มากขึ้น การดำเนินนโยบายต่าง ๆ เริ่มมีความชัดเจนทั้งการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กองทุนวายุภักษ์ รวมทั้งในช่วงนี้ที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถกลับมาบวกได้อีกครั้งอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงเดือนกว่า ๆ หลังจากที่ตลาดเป็นขาลงมาตั้งแต่ปี 2566 ณ ตอนนี้ เรียกได้ว่ามองเห็นแต่ปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหุ้นไทยที่ทำให้เกิดความหวังอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหลัก ๆ คงเป็นการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนดูมีความเชื่อมั่นได้มากขึ้น การดำเนินนโยบายต่าง ๆ เริ่มมีความชัดเจนทั้งการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กองทุนวายุภักษ์ รวมทั้งในช่วงนี้ที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว ปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ต่างเข้ามาสนับสนุนหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นถูกเทขายต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน คงมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มถอดใจและมีความคิดที่จะออกจากตลาดหุ้นไปเมื่อตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นช่วงนี้ คำถามต่อจากนี้คือตลาดหุ้นบ้านเราจะปรับตัวขึ้นไปได้ถึงเมื่อไหร่ ช่วงนี้คือช่วงที่ดีที่สุดในการพิจารณาการขายทำกำไรหรือไม่
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนหน้านี้ค่อนข้างน่าอึดอัด เพราะไม่ว่าจะมีปัจจัยบวกอะไรเข้ามาก็ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะไม่ค่อยตอบรับสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ประเทศไทยได้คลายความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่าต่างชาติจะเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดย SET Index ปรับตัวขึ้นมากว่า 10% ในระยะเวลาเพียงเดือนกว่า ๆ และได้ทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ต้นปี
สำหรับประเด็นทางการเมืองที่ก่อนหน้านี้มีความไม่แน่นอน แม้รัฐบาลคุณเศรษฐาจะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประมาณหนึ่งปี แต่นโยบายต่าง ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณที่มีความล่าช้า และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อย่างดิจิทัลวอลเล็ตที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ชัดเจน ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ มาในวันนี้ที่ศาลมีมติให้คุณเศรษฐาสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี และได้นายกฯ คนใหม่อย่าง คุณแพทองธาร การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่สุดท้ายก็สามารถออกมาได้จริง ๆ เสียที และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567” โดยการแจกเป็นเงินสด แม้ว่าวิธีการดำเนินการแจกเงินจะเปลี่ยนไปก็ตาม แต่อย่างน้อยเม็ดเงินที่รัฐบาลใช้ย่อมต้องมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ สำหรับกองทุนวายุภักษ์เอง ก็ได้เสร็จสิ้นกระบวนการเสนอขายเป็นที่เรียบร้อย และได้รับความสนใจมาอย่างล้นหลาม ก็ยิ่งส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนของกองทุนดังกล่าว
อีกสิ่งสำคัญที่หากไม่มีประเด็นนี้ ตลาดหุ้นไทยก็คงไม่ได้รับอานิสงส์ให้ปรับขึ้นเร็วและแรงขนาดนี้ก็เป็นได้ ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะออกมาเป็นใจ ที่ถึงคราวที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นการลดดอกอัตราดอกเบี้ยถึง 50 bps หลังจากการต่อสู้กับเงินเฟ้อมาอย่างยาวนาน และอาจจะมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้
สำหรับปัจจัยบวกที่กล่าวมาข้างต้น แม้จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และยังจะมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้ง่าย ๆ เหตุผลเหล่านี้ยังคงอยู่และเราก็ยังคงต้องตระหนักถึงความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งประเทศอื่น ๆ ก็คงต้องยอมรับว่ายังมีความน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น มองไปในอนาคต ตลาดหุ้นไทยคงไม่ได้ซื้อขายกันบน Valuation ที่แพงเท่ากับในอดีต แม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะมีการเติบโตมากขึ้นก็ตาม เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้น สำหรับในช่วงนี้ที่บรรยากาศการลงทุนค่อนข้างที่จะยังสดใส กระแสเงินจากต่างชาติยังคงไหลเข้า และยังมีปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้จากนโยบายที่รัฐบาลได้เริ่มทำ น่าจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะออกมาเป็นที่น่าพอใจ สนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องตระหนักถึงความเสี่ยงเฉพาะตัวของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขในระยะยาว และต้องติดตามว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะสามารถทำได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ ซึ่งหากไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ก็มีความเสี่ยงที่หุ้นไทยจะได้รับแรงกดดันอีกครั้ง สิ่งที่นักลงทุนต้องทำในช่วงนี้คงไม่ใช่การออกจากตลาดหุ้นเพราะหมดหวังกับประเทศไทย เพราะยังมีหุ้นพื้นฐานดี ๆ อยู่มากที่ยังมีโอกาสเติบโตในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้