แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2568
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะมีการเติบโตในระดับที่ไม่สูงมากนัก และน่าจะมีแรงกดดันจากภายนอกประเทศเข้ามา แต่ช่วงนี้ที่ดัชนีปรับตัวลงมา มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นไทย
SET Index ในเดือนพฤศจิกายน ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ขยับไปไหน โดย SET Index ยังคงแกว่งตัวที่ระดับประมาณ 1,430-1,490 จุด หลังจากที่ปรับตัวขึ้นได้ในเดือนตุลาคม แม้จะมีแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาด ตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ดีกว่าคาด และความเสี่ยงจากประเด็นทางการเมืองไทยคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ประเด็นกดดันจากการเมืองสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ยาก รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเร็วกว่าที่คาด โดยปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 2.25% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นเกือบแตะระดับ 1,500 จุด
แต่ก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อหุ้นไทยได้ไม่นานสักเท่าไหร่นัก โดย SET Index ได้แกว่งตัวในกรอบ 1,430-1,490 จุด เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็ม และไม่มีแนวโน้มจะแตะระดับ 1,500 จุดได้ในเร็ววัน ส่วนหนึ่งเพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และปัจจัยทางด้านการเมืองของสหรัฐอเมริกา
โดยหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากความกังวลในเศรษฐกิจภาพรวม หลังจากที่ นายโดนัล ทรัมป์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง และได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนล่าสุด ชัยชนะในครั้งนี้ ส่งผลต่อความกังวลของนโยบายที่เน้นให้สหรัฐอเมริกาเติบโต และมีนโยบายที่อาจจะก่อให้เกิดการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมากขึ้น
เช่น มีแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนมากถึง 60% ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ส่งผลต่อเนื่องไปยังนโยบายการเงินของ FED ที่โอกาสการลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะลดลง สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือจะทำให้ Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นลดลง รวมถึงกระทบไปยังการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการขึ้นกำแพงภาษีที่ไม่เอื้อต่อการส่งออก ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของเศรษฐกิจไทย
ในแง่ของปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี จากก่อนหน้านี้ที่มีเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ที่เริ่มซื้อขายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ แม้ว่าทั้งสองปัจจัยนี้ได้สะท้อนไปในดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่เข้ามาน่าจะยังคอยพยุงหุ้นไทยไปจนสิ้นสุดปี 2567
นอกจากนี้ ตัวเลข GDP ไทยในไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าคาด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.4% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักคือการเร่งตัวขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐ และการส่งออก ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลง 2.5%
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ฯ คาดการณ์การเติบโตของทั้งปีอยู่ที่ 2.6% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.3 - 2.8% นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 น่าจะเติบโตได้ในระดับ 3.5% ในส่วนของปี 2568 สภาพัฒน์ฯ ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.3-3.3%
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะมีการเติบโตในระดับที่ไม่สูงมากนัก และน่าจะมีแรงกดดันจากภายนอกประเทศเข้ามา แต่ช่วงนี้ที่ดัชนีปรับตัวลงมา มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นไทย เนื่องจากเชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนในปีหน้ายังมีแนวโน้มที่ดี ปัจจัยสนับสนุนมากกว่าปัจจัยเสี่ยง
โดยปัจจัยสนับสนุนจะมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ การลงทุนจากต่างชาติ และการเติบโตของภาคท่องเที่ยว ทำให้เชื่อว่าหุ้นหลาย ๆ ตัวยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นอกจากนี้ ปัจจัยการเมืองภายในประเทศเองที่ก่อนหน้านี้เป็นประเด็นกดดันตลาดหุ้นมาอย่างยาวนานก็ได้คลี่คลาย และค่อนข้างมีเสถียรภาพมากขึ้น ดังนั้น เชื่อว่าในระยะยาวตลาดหุ้นไทยน่าจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้