สรุปเหตุการณ์ตลาดหุ้นไทยปี 2567 อีกปีที่ต้องจดจำ

สรุปเหตุการณ์ตลาดหุ้นไทยปี 2567 อีกปีที่ต้องจดจำ

สรุปเหตุการณ์ตลาดหุ้นไทยปี 2567 SET Index ยังได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในเดือนกันยายน โดยความคืบหน้าของกองทุนวายุภักษ์ เป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก และปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมีแนวโน้มดูดีขึ้น

เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2567 ภาพการลงทุนในประเทศไทยในปีนี้เป็นอีกปีที่นักลงทุนหลายท่านต้องผ่านร้อนผ่านหนาวอยู่บ่อยครั้ง บ้างอาจถึงขั้นยอมแพ้กับตลาดหุ้นไทยไปเลย ซึ่งหากมองในแง่ดีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ได้มอบบทเรียนหลายเรื่องให้กับทั้งผู้ถือหุ้น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนต่างชาติ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนฯ รวมถึงผู้กำกับดูแลกฎเกณฑ์ต่างๆ ในเรื่องของการลงทุนในประเทศไทยมีความเปราะบาง และมีเรื่องที่ยังต้องพัฒนากันต่อไป เรื่องของการลงทุนอย่างยั่งยืนที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ผู้เขียนอยากใช้โอกาสนี้สรุปเหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจในอนาคต

เริ่มต้นในช่วงเดือนมกราคม ที่ผ่านมา January Effect สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีนี้เกิดขึ้นไม่กี่วัน หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวลดลงอีกครั้ง

โดยมีการปรับตัวลงจากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้แรงกดดันจากความกังวลดอกเบี้ยไทยเริ่มมีโอกาสที่จะปรับลดลง และการทยอยปรับลด Target Price ลงจากโบรกเกอร์ต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบจากกระแสความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งที่กลับเข้ามาในตลาด ตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์

ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฯ ที่อาจจะออกมาน่าผิดหวัง โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่อแววล่าช้า รวมถึงขนาดของวงเงินที่ใช้มีความเสี่ยงที่จะปรับลดลง ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยมีน้อยลง ประกอบกับในเดือนมิถุนายน SET Index ได้รับปัจจัยกดดันจากประเด็นการเมืองในประเทศ จากทั้งคดีของพรรคก้าวไกล และคดีของนายกฯ เศรษฐา ด้านตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยความไม่แน่นอนของคดีนายกฯ เศรษฐา เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด จะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดสะดุด ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ และภาวะเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะเป็นแรงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น หลังมาตรการฟรีวีซ่าถาวร ไทย-จีน ที่เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 ส่งผลให้ตั้งแต่ช่วงมีนาคม ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับปีก่อน และทางการจีนได้ประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดหุ้นภายในประเทศ รวมทั้งการปรับลดสัดส่วนเงินสำรองภาคธนาคาร (Reserve Requirement Ratio) ลง ที่คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นที่เชื่อมโยงสามารถฟื้นตัวในระดับหนึ่ง

ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 หลังตลาดหลักทรัพย์เริ่มมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2567 และมาตรการกำหนดเกณฑ์หุ้นที่จะ Short Selling (มีผลตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2567) จากที่ก่อนหน้าตลาดหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องพร้อมกระแสข่าวว่านักลงทุนบางกลุ่มสามารถเข้าทำธุรกรรมแบบ Naked Short และรวมถึงการใช้โปรแกรม High Frequency Trading ที่เพิ่มความผันผวนมากขึ้นในตลาด โดยราคาหุ้นหลายตัวปรับขึ้นตามการ Cover Short แม้ครึ่งเดือนหลังตลาดหุ้นมีปัจจัยกดดันจากแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการปล่อยกู้ให้กับ EA ที่ผู้บริหารถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษในประเด็นการกระทำทุจริต และทำให้บริษัทเสียผลประโยชน์ ส่งให้ตลาดหุ้นไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่บริเวณ 1,275 จุด

หลังจากนั้นตลาดหุ้นฟื้นกลับขึ้นมาได้จากความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงแรงหนุนหลักมาจากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้น DELTA หลังบริษัทรายงานกําไรสุทธิ 2Q67 เติบโตแข็งแกร่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ปัจจัยการเมืองในประเทศที่ผ่อนคลายลงหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเริ่มเดินหน้าจัดตั้ง ครม.ใหม่เร็วกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ความกังวลสุญญากาศทางการเมืองลดลง ประกอบกับตัวเลข GDP +2.3% YoY ดีกว่าคาด และสภาพัฒน์ได้มีการปรับคาดการณ์ GDP 2567 เป็น 2.3-2.8% (เดิม 2.0-3.0%) SET Index ยังได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในเดือนกันยายน โดยความคืบหน้าของกองทุนวายุภักษ์เป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก และปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมีแนวโน้มดูดีขึ้น โดยผลประชุม FED มีมติลดอัตราดอกเบี้ยฯ ครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ที่ 50 bps 

ทั้งนี้ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยรวมถือว่าออกมาดีกว่าตลาดคาด ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐ ยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนผ่านนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มที่อิงการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับความคาดหวังจากงบประมาณภาครัฐ มูลค่ากว่า 3.75 ล้านล้านบาท ที่เริ่มเบิกจ่ายได้ในเดือนตุลาคม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มจากการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง 1.4 แสนล้านบาท อีกทั้งผลการประชุม กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps สู่ระดับ 2.25% ผิดไปจากที่ตลาดคาด ส่งผลให้ดัชนีปรับขึ้นทดสอบระดับ 1,500 จุด ได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี ถือเป็นการปรับตัวขึ้นกว่า 225 จุดจากจุดต่ำสุดของปีนี้ หลังจากนั้นดัชนีเริ่มปรับฐานโดยเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังไหลออก หลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่

ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฯ ไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าที่คาด กดดันประมาณการ EPS ของตลาดปีนี้ รวมถึงการลดลงของราคาหุ้น DELTA หลังมาตรการกำกับการซื้อขายลำดับ 1 เข้าสู่เดือนสุดท้ายตลาดหุ้นยังขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ รวมถึงคาดการณ์เงินลงทุนจากกองทุนลดหย่อนภาษีที่มีแนวโน้มน้อยกว่าที่คาดการณ์ อีกทั้งยังมีปัจจัยกดดันเฉพาะตัวจากข่าวการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ที่อาจมีส่วนกระทบไปที่หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ด้วย การลงทุนในโครงการ The Happitat ของ CPAXT ที่ถูกจับตามอง และตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในส่วนของประเด็น Corporate Governance

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บทเรียน และความคิดเห็นส่วนตัวที่ผู้เขียนมองว่าจำเป็นต่อการพัฒนา และส่งเสริมการลงทุนในประเทศมีดังต่อไปนี้ ในภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยนั้นถือว่าตลาดมีการตอบรับข่าวสาร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในประเทศหรือต่างประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นสิ่งที่นักลงทุนค่อนข้างให้น้ำหนัก และพร้อมที่จะลดสัดส่วนการลงทุนเพื่อจำกัดความเสี่ยง การมาของโปรแกรม High Frequency Trading เป็นสิ่งที่มีผลต่อความผันผวนในตลาด ทั้งนี้การเข้าถึงโปรแกรมซื้อขายประเภทนี้ควรมีความเท่าเทียมในการใช้งานไม่จำกัดเฉพาะแค่นักลงทุนประเภทใดประเภทหนึ่ง ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยมีความกระจุกตัวมากขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนหุ้นไม่กี่ตัวที่ส่งผลบวกต่อดัชนีในปีนี้ 

ดังนั้นการลงทุนต้องมีความรอบคอบ และแม่นยำมากขึ้น เรื่องสุดท้ายคงจะเป็นเรื่องการผลักดันการลงทุนแบบยั่งยืนในประเทศที่ควรมีมาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมไม่ใช้เป็นเครื่องมือในการประคองมาตรการกำกับการซื้อขายเพื่อปกป้องนักลงทุน รวมถึงปัญหา Corporate Governance ที่ควรมีแนวทาง และมาตรการที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุน และพบกันใหม่ในปี 2568 สวัสดีปีใหม่ครับ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์