“หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกับโอกาสและความเสี่ยงจากการลงทุน”
บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีหลายบริษัทยังคงรายงานผลประกอบการขาดทุน เนื่องจากจัดตั้งบริษัทมาได้ไม่นาน หรือมีค่า P/E สูงมาก แต่ผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าวปรับตัวขึ้นโดดเด่นและเป็นที่กล่าวถึงของนักลงทุน
ในบทความสุดท้ายของปีที่แล้ว หนึ่งในกองทุนที่ผมมองว่าน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งในบทความนี้ ผมจะขอลงในรายละเอียดมากขึ้นว่าทำไมผมจึงมองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น รวมถึงความเสี่ยงจากการลงทุนมีอะไรบ้าง
ณ ขณะนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นช่วงที่เทคโนโลยีกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น และมีบทบาทไปในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบสภาวะอากาศและความแข็งแรงของพืช การใช้ AI ในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในภาคการผลิต การใช้ AI ตรวจสอบใบหน้าในการทำธุรกรรมทางการเงิน, การใช้ AI แปลภาษา เป็นต้น การพัฒนาของ AI ส่งผลให้มีความต้องการพัฒนาในด้านอื่นๆตามมาอีกมาก เช่น การพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, ชิปคอมพิวเตอร์ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน, สายสัญญาณที่มีเสถียรภาพ ประหยัดพลังงาน และมีความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็ว, Data center ที่เก็บฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Google, Amazon ต่างเดินหน้าลงทุนใน AI มากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยเฉพาะชิปคอมพิวเตอร์ สายและตัวส่งสัญญาณ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล ดังนั้น บริษัทที่เกี่ยวข้องจึงมีการเติบโตที่ดีเช่นกัน
นอกจากเทคโนโลยี AI ที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีอื่นๆต่างมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤตโควิด มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆเพิ่มขึ้นมากมาย ส่งผลให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การสแกนจ่ายเงิน การประชุมออนไลน์ การทำงานจากที่บ้าน การสั่งอาหารหรือชอปปิ้งผ่านแอพ เป็นต้น ในส่วนของเทคโนโลยีอื่นๆที่ถูกพัฒนาทั้งก่อนและหลังการระบาดของโควิด อาทิ หุ่นยนต์ที่ใช้ในการผ่าตัด โดรนที่ใช้ในการเกษตร รถยนต์ไฟฟ้า แอพพลิเคชั่นต่างๆ ฯลฯ ต่างมีแนวโน้มพัฒนาต่อเนื่องเช่นกัน
อย่างไรก็ดี การพัฒนาของเทคโนโลยี ถึงแม้ส่งผลดีในภาพรวม ก่อให้เกิดอาชีพใหม่ๆ มากมาย อาทิ นักพัฒนาซอฟท์แวร์ อินฟลูเอนเซอร์ ไรเดอร์ ฯลฯ แต่หลายธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบเชิงลบ เช่น ธุรกิจบันเทิง ร้านค้าทั่วไป เนื่องจากทุกคนสามารถเป็นดาราเป็นผู้สื่อข่าวได้ผ่านสังคมออนไลน์ การทำโฆษณาทำได้ง่ายขึ้น การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทำได้กว้างขึ้น การซื้อขายสินค้ามีคู่แข่งจากทั่วโลก นอกจากนี้ การพัฒนาของเทคโนโลยีส่งผลให้มิจฉาชีพสามารถนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่าย เช่น การหลอกลวงออนไลน์ การขโมยข้อมูลลูกค้า ดังนั้น จึงมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security) เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น โปรแกรมป้องกันเบอร์มิจฉาชีพ โปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า โอกาสที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจะเติบโตแข็งแกร่งยังคงมีอยู่มาก และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกนาน เพราะดูเหมือนว่ายังคงเป็นช่วงต้นของการเติบโตของวัฏจักรขาขึ้น โดยปัจจุบันเทคโนโลยีมีต้นทุนที่ถูกลงมาก เนื่องจากมีการพัฒนาจนต้นทุนต่ำลง บริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กหลายแห่งเริ่มมีกำไร และหลายแห่งกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยียังมีการร่วมมือกันในหลายๆด้าน เราอาจเห็นการร่วมทุน ควบรวม หรือซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ลดการแข่งขันทางการค้า หรือขยายกิจการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาหุ้น
ทั้งนี้ นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เรารู้จักกันดีอย่างหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ซึ่งได้แก่ Alphabet, Amazon, Apple, Meta Platforms, Microsoft, NVIDIA และ Tesla แล้ว ยังมีหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมไปถึง digital asset อย่าง bitcoin อยู่อีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงบริษัทเก่าแก่หลายบริษัทขยับมาเป็นบริษัทที่เน้นเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น อาทิ เมื่อวันจันทร์ที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา Walt Disneyประกาศเข้าถือหุ้นใหญ่ของ Fubo เพื่อขยายธุรกิจบริการ live TV streaming เป็นต้น
อย่างไรก็ดี บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีหลายบริษัทยังคงรายงานผลประกอบการขาดทุน เนื่องจากจัดตั้งบริษัทมาได้ไม่นาน หรือมีค่า P/E สูงมาก แต่ผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าวปรับตัวขึ้นโดดเด่นและเป็นที่กล่าวถึงของนักลงทุน
ในส่วนของความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี มีแนวโน้มที่รัฐบาลประเทศต่างๆจะออกกฎเกณฑ์เพื่อจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียจนเกินการควบคุม ตัวอย่างเช่น หากมีการพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพสูงมาก มิจฉาชีพอาจนำไปใช้ในการช่วยถอดรหัสการเข้าถึงข้อมูลของธนาคารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในธุรกิจเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จึงอาจส่งผลให้เทคโนโลยีใหม่ในวันนี้อาจกลายเป็นเทคโนโลยีเก่าในอีก 1 เดือนข้างหน้าก็เป็นได้ ดังนั้น บริษัทต่างๆจึงต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจส่งผลลบต่อผลประกอบการของบริษัท รวมถึงการแข่งขันกันเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศอาจส่งผลให้สงครามการค้ารุนแรงมากขึ้น ในส่วนของราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีโอกาสได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยน้อยและช้ากว่าที่คาด เนื่องจากหลายบริษัทมีภาระดอกเบี้ยในระดับสูง
จากภาพรวมทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าโอกาสที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะสร้างผลตอบแทนได้ดีมีอยู่มาก แต่ความผันผวนก็มีแนวโน้มที่จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นผู้ที่จะลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีควรเป็นผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง เนื่องจากกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเดียว และอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน