ตลาดหุ้นยุโรป กระทิงเกิดใหม่ปี 2025?

ตลาดหุ้นยุโรป กระทิงเกิดใหม่ปี 2025?

ปี 2025 แม้ความเสี่ยงสงครามรัสเซียยูเครน สงครามการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงอยู่ แต่ถ้าการปฏิรูปเกิดขึ้นจริง หุ้นยุโรปจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นยุโรปกำลังเขย่าโลกการลงทุนด้วยแรงบวกแข็งแกร่งที่สุดในรอบทศวรรษ

ยังไม่จบไตรมาสแรกของปี 2025 ดัชนีหุ้นเยอรมัน สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส ต่างพุ่งทะยานไปแล้วกว่า 15-25% เมื่อรวมกับการแข็งค่าของเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์อีก 3.2% ตั้งแต่ต้นปี ยิ่งทำให้การลงทุนในทวีปนี้น่าสนใจขึ้นไปอีก 

เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นยุโรปและควรลงทุนอย่างไร เป็นเรื่องที่ผมอยากชวนให้นักลงทุนไทยรู้เท่าทันตลาด

ตลาดหุ้นยุโรป กระทิงเกิดใหม่ปี 2025?

เหตุผลที่ทำให้ยุโรปต้องปรับตัวครั้งใหญ่ คือการกลับมาของ Trump

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในงาน Munich Security Conference เมื่อรองประธานาธิบดี JD Vance วิจารณ์ยุโรปอย่างรุนแรงเรื่องการไม่ร่วมมือกับพรรคฝ่ายขวา สร้างความไม่แน่นอนและไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและยุโรป

ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมัน Friedrich Merz ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญ ด้วยการเสนอแผนการคลังขนาดใหญ่ประกอบด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 5 แสนล้านยูโรใน 10 ปี การเพิ่มเพดานขาดดุลเชิงโครงสร้างต่อปีเป็น 0.35% ต่อ GDP และยกเว้นข้อจำกัดสำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหม

ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ GDP เยอรมันจากที่ไม่เติบโต มีโอกาสจะขยายตัว 1.5-2.0% ต่อปีใน 10 ปีข้างหน้า

ด้วยขนาดเศรษฐกิจเยอรมนีที่คิดเป็นกว่า 25% ของยุโรป ผลบวกจะกระจายไปทั่วทั้งทวีปและอาจเป็นแม่แบบการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุโรปอื่นๆ ในอนาคต

นอกจากนโยบายเศรษฐกิจ ตลาดการเงินก็กลับทิศมาสนับสนุนในเวลาเดียวกัน

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือการฟื้นตัวของเงินยูโร (EUR) จากที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ตอนนี้กำลังแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

แรงบวกสำคัญมาจากส่วนต่างของบอนด์ยีลด์ระหว่างยุโรปกับสหรัฐที่แคบลงอย่างรวดเร็ว

ต้นปีที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีอยู่ที่ระดับ 4.6% ขณะที่บอนด์ยีลด์เยอรมันต่ำเพียง 2.3% ทำให้เงินลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ฝั่งสหรัฐ

แต่ความแตกต่างนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มผันผวนจากนโยบายลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ สวนทางกับยุโรปที่ตั้งเป้ากระตุ้นทางการคลังเพิ่ม

ล่าสุดบอด์ยีลด์เยอรมันและสหรัฐอายุ 10 ปี ขยับไปที่ 2.8% และ 4.3% ทำให้ส่วนต่างของยีลด์แคบที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2023 และมีแนวโน้มแคบลงไปอีก

ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดหุ้นสหรัฐก็กำลังเผชิญกับแรงขายทำกำไรในหุ้น Tech ที่มูลค่าแพง เมื่อตลาดมีหุ้นจีนที่สร้าง AI มาแข่งขัน และตลาดหุ้นยุโรปที่มีแรงบวกจากนโยบายเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้แรงขายเกิดขึ้นเร็ว เงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุนEUR แข็ง สนับสนุนเงินทุนให้เคลื่อนตัวมาที่ยุโรปมากขึ้นไปอีก

ตลาดหุ้นยุโรปจะไปต่อได้อีกแค่ไหน ผมมองว่าอยู่ที่ Valuation และทิศทางการเติบโตของรายได้ในอนาคต

การปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 มี NTM P/E เริ่มต้นปีที่ 14เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ย 5 อดีต (15.5เท่า) และหุ้นสหรัฐ (S&P 500 21เท่า) จึงมีการปรับสมดุลที่สะท้อนมูลค่าใหม่อย่างรวดเร็ว

ในอนาคตหุ้นยุโรปจะมีโอกาสปรับสมดุลต่อเนื่องถ้านักลงทุนทยอยลดสัดส่วนการลงถทนหุ้นสหรัฐที่มี Valuation สูง และหันไปลงทุนนอกสหรัฐฯ หรือหุ้นในยุโรปเริ่มกลับมามีรายได้เติบโตจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น

ถ้าสนใจลงทุนในยุโรป ผมแนะนำธีมลงทุนและหุ้นยุโรปที่น่าจับตา 3 ธีม

1. Euro High Dividend -หุ้นปันผลสูง คาดว่าจะได้รับแรงหนุนมากที่สุด เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง พร้อมกับ EUR แข็งค่า หนุนเงินทุนไหลเข้า การลงทุนธีมนี้ประกอบด้วย หุ้นสาธารณูปโภคและการเงิน มีปันผลสูงกว่า 5% ต่อปี

2. Euro Defenses -เทคโนโลยีป้องกันประเทศในทวีปยุโรปที่คาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อและลงทุนมหาศาล เช่น Rheinmetall (RHM GR) บริษัทเยอรมัน ผู้ผลิตยานพาหนะทางทหาร Thales Group (HO FP) บริษัทฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญในระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการป้องกันการบินอวกาศ Leonardo (LDO IM) บริษัทอิตาลี ดำเนินธุรกิจในด้านการป้องกันประเทศและผลิตเฮลิคอปเตอร์ทางทหาร

หรือ SHLD (Global X Defense Tech) ETF ที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทในธุรกิจป้องกันประเทศ มีสัดส่วนการลงทุนในยุโรปกว่า 40% 

3. GRANOLAS -Goldman Sachs รวมหุ้นใหญ่พื้นฐานดีในยุโรป เช่น GlaxoSmithKline (GSK LN) บริษัทเวชภัณฑ์และชีวเวชภัณฑ์ชั้นนำของโลก Roche (ROG SW) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากสวิตเซอร์แลนด์ ASML (ASML01) ผู้นำด้านการผลิตเครื่องจักรสำหรับการผลิต Semiconductor  Novo Nordisk (NOVOB80) ผู้ผลิตยารักษาโรคเบาหวานจากเดนมาร์ก L'Oreal (LOREAL80) บริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชั้นนำจากฝรั่งเศส LVMH(LVMH01) กลุ่มธุรกิจสินค้าแบรนด์หรู AstraZeneca (AZN LN) บริษัทเวชภัณฑ์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ และ Sanofi(SANOFI80) บริษัทยาและวัคซีนจากฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญด้านโรคเรื้อรังและภูมิคุ้มกัน

สำหรับปี 2025 แม้ความเสี่ยงสงครามรัสเซียยูเครน สงครามการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงอยู่ แต่ถ้าการปฏิรูปเกิดขึ้นจริง หุ้นยุโรปจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แน่นอนครับ