สงครามการค้าบีบคอเศรษฐกิจไทย แต่ดอกเบี้ยอาจเป็นอัศวินม้าขาว

ตลาดหุ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ตลาดหุ้นไทยอาจมีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยเริ่มมีสำนักวิจัยในต่างประเทศปรับคำแนะนำตลาดหุ้นไทยเป็น “Overweight” โดยระบุว่าผลกระทบจากปัจจัยลบได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มเห็นโอกาสการฟื้นตัวระยะสั้นจากปัจจัยบวกหลายประการ 

เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านลบที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางภาวะการเงินที่ตึงตัวรุนแรงแม้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วสองครั้ง สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทเทียบคู่ค้าคู่แข่งที่แข็งค่าสูงในรอบหลายสิบปี การหดตัวต่อเนื่องของสินเชื่อ และดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบสุดในรอบ 10 ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ขยายตัวต่ำกว่าคาดมาก สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจที่เห็นได้จากการหดตัวรุนแรงของสินค้าคงคลัง และการลงทุนภาคเอกชนที่ยังหดตัวต่อเนื่อง

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุดมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.00% ต่อปี สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวเพียง “สูงกว่าร้อยละ 2.5 เล็กน้อย” ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ เศรษฐกิจไทยเผชิญความกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจไตรมาส 4/2567 ที่ขยายตัวเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ 3.9% ภาวะการเงินตึงตัว การขยายตัวแบบ K-shape และการหดตัวของสินเชื่อภาคเอกชนครั้งแรกในรอบ 21 ปี (-0.4%)

ความเสี่ยงสำคัญอีกประการคือนโยบาย Reciprocal Tariffs ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะประกาศในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากปัจจุบันไทยมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตราสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร (42%) อาหารไม่แปรรูป (สูงสุด 216%) และยานยนต์ (80%) ขณะที่สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐเสียภาษีเฉลี่ยเพียง 2.4% ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่สหรัฐจะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าไทยอีกประมาณ 5.8% เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม สงครามการค้าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐ โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องจักรกล

ด้านเศรษฐกิจโลก ปัจจัยกดดันเริ่มปรากฏชัดเจนในช่วงต้นปี 2568 โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐอย่าง PMI รวมลดลงเหลือ 50.4 ต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ยอดค้าปลีกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงลงต่ำสุดในรอบหลายเดือน ขณะที่ IMF คาดการณ์ว่าการกีดกันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงสูงสุดได้ถึง -0.8% ในปี 2568 ขณะที่ Goldman Sachs ประเมินว่าในกรณีเลวร้าย เศรษฐกิจอาจลดลง 1% และเงินเฟ้อพุ่งขึ้น 3% หากมีการขึ้นภาษี 10% กับทั่วโลก

จากปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือเพียง 2.5% ในปี 2568 และคาดการณ์ว่าการส่งออกจะหดตัว 1.0% คล้ายกับสถานการณ์ในปี 2562 ที่เผชิญกับสงครามการค้ารอบแรก โดยมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจขยายตัวต่ำกว่า 2.0% หากนโยบาย Reciprocal Tariffs มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ซึ่งอาจทำให้ GDP ไทยลดลงถึง 0.5-0.6% จากกรณีฐาน

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 1/2568 และพัฒนาการเศรษฐกิจล่าสุด เราคาดการณ์ว่า ธปท. อาจมีการปรับลดทิศทางอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น โดยเรามองว่าโอกาสลดดอกเบี้ยรวมทั้งปี 2568 แบ่งเป็น (1) ลดอีก 1 ครั้ง (โอกาส 50%) (2) ลดอีก 2 ครั้ง (โอกาส 30%) และ (3) ลดอีก 3 ครั้ง (โอกาส20%) ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผลกระทบจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยหาก ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งครั้งสู่ระดับ 1.75% ในเดือนตุลาคมตามการคาดการณ์หลักของเรา เรามองว่าอาจช้าเกินไปที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากลดได้อย่างรวดเร็ว ก็อาจสนับสนุนเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง

ในส่วนของตลาดหุ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ตลาดหุ้นไทยอาจมีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยเริ่มมีสำนักวิจัยในต่างประเทศปรับคำแนะนำตลาดหุ้นไทยเป็น “Overweight” โดยระบุว่าผลกระทบจากปัจจัยลบได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มเห็นโอกาสการฟื้นตัวระยะสั้นจากปัจจัยบวกหลายประการ ได้แก่ (1) Valuation ที่น่าสนใจ (Forward P/E 14 เท่า) (2) นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ (มาตรการภาษีกองทุน ESG) (3) การผ่อนคลายนโยบายการเงิน (สำนักวิจัยต่างชาติ คาดลด ธปท. จะดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในปี 2568) และอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน 

ในส่วนของ INVX เรามองว่า ภาวะที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญความท้าทายแต่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว แนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว: (1) หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX เช่น ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, PTT (2) หุ้นปันผลคุณภาพดี เช่น AP, KTB, BBL, SPALI, KBANK และ (3) หุ้น Undervalued เช่น MTC, MINT, AMATA, BJC, CPF

ขอให้นักลงทุนโชคดี

- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX

- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน

โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm

- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher

#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ

*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้