แนวโน้มสินทรัพย์ระยะสั้น เดือนเมษายน 2568

ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรง และการปรับลดประมาณการกำไรที่ต่อเนื่อง ดัชนี Nasdaq100 มีแนวโน้มจะปรับตัวลง 20-25% ดัชนี S&P500 ยังคงอยู่ในช่วงปรับฐาน ขณะที่บรรยากาศการลงทุนยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค
ดัชนี MSCI All-Country World Equity ปรับตัวลง 3.8% ในเดือนมี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ทางทีม Wealth Research ของหลักทรัพย์บัวหลวง มีมุมมองต่อแนวโน้มของแต่ละสินทรัพย์ในระยะสั้นตลอดเดือนเมษายน 2568 ว่า
ตลาดตราสารหนี้ : สภาพแวดล้อมทางเครดิตที่ตึงตัวกำลงกดดันธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ โดยสถานการณ์แย่ลงนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ล้มของธนาคารระดับภูมิภาคและธนาคารขนาดเล็กในปี 2023 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำกัดกำลังทำให้การลงทุน การจ้างงาน และการเติบโตของ GDP ชะลอลง ทำให้ความเสี่ยงของภาวะถดถอยเพิ่มขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อกำลังชะลอตัว โดย Core CPI ชะลอลงเหลือ 3.1% YoY ในเดือนก.พ. เงินเฟ้อหมวดที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ โดยดัชนีค่าเช่าส่งสัญญาณลดลงต่อ เราคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสองครั้งในปี 2025 โดยคาดว่าจะลดในเดือนมิ.ย. และ ก.ย. แต่สภาวะนโยบายการเงินจะยังคงตึงตัวอยู่ในระยะสั้น จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าในยุค “ทรัมป์ 2.0”
หุ้นไทย : ดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา โดยนักลงทนระมัดระวังจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเขาสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากไทย หลังจากที่ดัชนีหลักปรับตัวลดลงแรงตั้งแต่ต้นปีตลาดอยู่ในระดับที่น่าสนใจและมีดาวน์ไซด์จำกัด มาตรการกระตุ้นของภาครัฐช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง แต่ความเสี่ยงระยะสั้นยังมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้า แม้สงครามการค้าจะเป็นความเสี่ยงด้านลบ แต่หากตลาดปรับตัวลงอีก ถือเป็นโอกาสในการเข้า “ซื้อ”
ทั้งนี้หากตลาดอ่อนตัวลงในช่วงนี้ จะเป็นโอกาสในการทยอยสะสม กลยุทธ์การลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ธีม โดยธีมแรก ได้แก่ 1. กลุ่มที่มีมูลค่าต่ำแต่มีปัจจัยหนุนเด่น หุ้นที่ถูกประเมินค่าต่ำ แต่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและมีปัจจัยหนุนที่ชัดเจน เช่น กำไรเติบโตเร็ว ปัจจัยตามฤดูกาลที่เป็นบวก อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม 2. กลุ่มที่น่าจับตาการฟื้นตัว หุ้นที่มีมูลค่าต่ำแต่ยังเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หรือสงครามการค้าที่ยกระดับ ซึ่งอาจจำกัดโอกาสในการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น กลุ่มวัฏจักร เช่น เคมีภัณฑ์
3. กลุ่มผู้นำตลาดถัดไปที่มีความแข็งแกร่งในระยะยาว เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น ICT และสาธารณูปโภค (Utilities) 4. กลุ่มหุ้นปันผลสม่ำเสมอและมีกระแสเงินสดแข็งแรง โดยมีเงินทุนสำรองจำนวนมากรองรับ นอกเหนือจากธนาคารแบบดั้งเดิม กลุ่มธนาคารยังได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไปสู่การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และการเกิดขึ้นของธนาคารดิจิทัล หุ้นกลุ่มนี้ผสมผสานระหว่างผลตอบแทนจากเงิน ปันผลที่มั่นคง ความแข็งแกร่งทางการเงิน และการมีบทบาทในอนาคตของอุตสาหกรรมการเงินอย่างลงตัว
หุ้นเวียดนาม: ดัชนี VN ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโลก หนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ตัวขับ เคลื่อนการเติบโตระยะยาวหลักสามประการ ได้แก่ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนาม-สิงคโปร์ ที่แน่นแฟ้นขึ้น โดยมีการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ รวมถึงการลด VAT และยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่เน้นภาคค้าปลีกเพื่อชดเชย ผลกระทบจากแนวโน้มการส่งออกที่อ่อนแอ และ 3. การปฏิรูปการคลังและระบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แม้นโยบายเหล่านี้ช่วยสนับสนุนแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม แต่ความเสี่ยงระยะสั้นยังคงอยู่ เช่น ความขัดแย้งทางการค้า และความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งอาจทำให้ตลาดผันผวนในเดือนเมษายน
หุ้นจีน : สภาประชาชนแห่งชาติจีนตั้งเป้าการเติบโต GDP ที่ 5% ในปี 2025 รวมถึงมีมาตรการด้านการคลังโดยเพิ่มเพดานขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP และการออกพันธบัตรใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินนอกจากนั้นธนาคารกลางจีนยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย สนับสนุนภาคส่วนสำคัญ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ปัญญาประดิษฐ์ และอุตสาหกรรมสีเขียว ขณะที่มาตรการกระตุ้นการบริโภคยังคงอยู่ในระดับปานกลาง ผ่านการขึ้นเงินเดือนและเงินบำนาญ แม้นโยบายเหล่านี้จะช่วยเสริมเสถียรภาพของเศรษฐกิจ แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาและความเสี่ยงภายนอกประเทศยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ทำให้รัฐบาลจีนต้องเผชิญกับท้าทายในการกระตุ้นการฟื้นตัวของอุปสงค์อย่างยั่งยืน
หุ้นสหรัฐฯ : กำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 18.3% YoY ในไตรมาส 4/2024 โดยกลุ่มการเงินเติบโตถึง 55.9% YoY ขณะที่กลุ่มพลังงานหดตัว 26.4% YoY รายได้เพิ่มขึ้น 5.3% YoY แต่กลุ่มวัฏจักรอ่อนแอลง สำหรับไตรมาส 1/2025 แม้ว่าคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 7.3% YoY แต่การปรับลดคาดการณ์กำไรสะท้อนถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาค ความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัสดุ ขณะที่ความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่อนคลายลง ดัชนี Nasdaq100 ร่วงหลุดแนวรับสำคัญและใกล้เข้าสภาวะ “Death Cross” ซึ่งชี้ถึงดาวน์ไซด์จากระดับปัจจุบันไปอีก ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรง และการปรับลดประมาณการกำไรที่ต่อเนื่อง ดัชนี Nasdaq100 มีแนวโน้มจะปรับตัวลง 20-25% ดัชนี S&P500 ยังคงอยู่ในช่วงปรับฐาน ขณะที่บรรยากาศการลงทุนยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค