“บิ๊กตู่” ไปต่อ..ดับฝัน “ทักษิณ”? ส.ว.250 เสียง “ตัวแปร” นายกฯ
ดูเหมือนสิ่งที่ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่ วู้ดซัม” รู้มาตลอด ก็คือ ตราบใดที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่วางมือทางการเมือง ตราบนั้น ก้างขวางคอชิ้นโต ก็จะยังคงอยู่
หนทางที่จะชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” หรือ “ถล่มทลาย” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้ากระแสพรรคไม่ดีจริง หรือ “สวิง” อย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
เหนืออื่นใด ประตูฝันที่จะได้ “กลับบ้าน” แบบเท่ๆ กำลังจะปิดลงในอีกไม่ช้า
อย่าลืมว่า “ทักษิณ” พยายามมาตลอด ที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการปลุกกระแสความไม่ชอบธรรมที่จะอยู่ต่อ หลังเป็นนายกฯมาแล้ว 8 ปี โดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะพล.อ.ประยุทธ์กอดศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้แน่น ยึดกระบวนการยุติธรรม เป็นผู้ตัดสิน
กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย ยังเป็นนายกฯไม่ครบ 8 ปี และยังมีสิทธิที่จะเป็นนายกฯได้อีก ประมาณ 2 ปี
สิ่งที่ “ทักษิณ” พยายามเคลื่อนไหว ก็คือ เดินเกมเขย่าขวัญ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยกระแสนิยมที่ลดลง และเกทับด้วยกระแส “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง เมื่อผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน กระแส “อุ๊งอิ๊ง” มาแรงกว่าใครเพื่อน ทิ้งพล.อ.ประยุทธ์ แทบทุกครั้งที่มีการสำรวจ
แต่นั่น อย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ตัดสินใจที่จะไปต่อทางการเมืองหรือวางมือทางการเมือง เป็นความคลุมเครือที่หลายคนกำลังรอความชัดเจน โดยเฉพาะ “แฟนคลับ” ตัวยงพล.อ.ประยุทธ์
นั่น ยิ่งทำให้ “ทักษิณ” ได้ใจ เคลื่อนไหว “หยามหมิ่น” เหมือนไม่ให้ราคาแม้แต่น้อย
“สรุปก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะไปเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติของนายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค และถ้าเดาไม่ผิด นายสุชาติ ชมกลิ่น จะไปเป็นเลขา ส่วน พล.อ.ประวิตร ซึ่งรักษาพรรคเดิมไว้ ตอนนี้เริ่มเรียกคนกลับมาก็สนุกดี แต่จะบอกให้อย่าง ประชาชนเจ็บมานาน ฉะนั้น เที่ยวนี้ ประชาชนกำลังจะสอน...”
“ทักษิณ” หรือ “โทนี่ วู้ดซัม” กล่าวบางช่วงในคลับเฮ้าส์ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 พฤศจิกายน2565
ทั้งยังเสนอว่า “ในฐานะคนที่ผ่านการเมืองมาเยอะ วิเคราะห์ตามกติกาที่ระบุว่า ถ้าจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ได้ 25 เสียง ชื่อนั้นตกกระป๋อง ไม่มีความหมายผมดูแล้ว พรรคที่จะได้ 25 เสียงขึ้นไปนั้น มีอยู่ 5 พรรค ไม่มากกว่านั้น
ดังนั้น ถ้าผมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ มี 2 ทางเลือก คือ จะเอาเท่ หรือไม่เท่ ซึ่งถ้าเอาเท่ คืออยู่ครบเทอม เหลืออีก 2 ปี อย่าคิดอะไร พักผ่อน เท่ๆ ล้างมือ จบ...
ส่วนแบบไม่เท่ คือ ไม่ต้องเข้าพรรคไหนไปตกลงกับพรรคภูมิใจไทย และให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคู่กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล แบ่งกันคนละ 2 ปี เพราะถ้าไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่แน่ใจ เพราะเป็นพรรคใหม่...”
วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ พูดชัดเจนแล้วว่า เตรียมสมัครเป็นสมาชิก “พรรครวมไทยสร้างชาติ” และเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคด้วย
“วันนี้จำเป็นต้องพูด เพราะเกรงว่า ถ้าไม่พูดก็จะไปกันเรื่อย วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อยผมก็ตัดสินใจแล้ว ต้องขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนผมเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นศัตรูกัน”
….ผมพยายามทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยมากที่สุด ให้ดีที่สุด ผมทำคนเดียวไม่ได้ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน ต้องมีหลักคิดว่าจะทำยังไง จะเลือกใคร จะเลือกได้ยังไง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกพรรคการเมือง การเลือกส.ส. ก็ต้องมองดูว่าจะได้ใครเป็นนายกฯ ท้ายที่สุดมันอยู่ตรงนั้น
บอกแล้วว่า เลือกตั้งมาแล้วท้ายที่สุดก็ต้องมารวมคะแนนกัน รวมเสียงกัน ฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล แล้วก็เสนอชื่อคนที่เป็นนายกฯ เป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีอะไรแน่นอน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน
….ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญที่สุด ต้องคิดกัน ไตร่ตรองกันให้รอบคอบ มีเหตุมีผล มีหลักคิด ถ้าสมมติว่าอยากได้โน่นนี่ แต่เกินขีดความสามารถของรัฐบาล เกินขีดความสามารถในการใช้งบประมาณก็จะเดือดร้อน ประเทศชาติก็จะเสียหาย คิดให้ได้ เพราะมีประโยชน์โดยรวม ประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละอาชีพ เราต้องเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินที่ดี นายกฯใช้หลักการนี้บริหารมาโดยตลอด หลายอย่างก็ดีขึ้น หลายอย่างก็เจอปัญหา ประสบปัญหา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรอบ
….งานหลักของผมคือ ดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน คือ หน้าที่ผมในการยืนอยู่ตรงนี้ เคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า เข้ามาเพราะเหตุผลอะไร มีความจำเป็นคืออะไร ทุกคนก็ทราบ แต่ลืมไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็มีคนมาพูดจาเสียหาย มาตำหนิผมเรื่องโน้นเรื่องนี้ ลืมไปหมดแล้วว่าท่านทำเสียหายอะไรไว้บ้าง และตนเข้ามาทำให้ทุกอย่างดีขึ้นๆแต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ ถ้าเราใช้อะไรเด็ดขาดก็ลำบากเหมือนกัน...”
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น การตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ ยังมาพร้อมกับ การเคลื่อนไหวย้ายตามพล.อ.ประยุทธ์ของส.ส. และนักการเมืองจำนวนหนึ่ง
เริ่มจาก นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศตัว “ตู่อยู่ไหน สายัณห์อยู่นั่น”
ทั้งยังเผยด้วยว่า จะมีส.ส.ย้ายตามไป รทสช. อีกประมาณ 40 คน
ขณะที่ นายชัชวาลล์ คงอุดม หรือ “ชัช เตาปูน” บ้านใหญ่เตาปูน ส.ส.บัญชีรายชื่อประธานที่ปรึกษายุทธศาสตร์พรรคพลังท้องถิ่นไท ก็ยอมรับเองว่า ตัดสินใจจะไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเป็นทีมงานยุทธศาสตร์ของพรรค
นอกจากนี้ นายชัชวาลล์ หวังว่าฐานเสียงในพื้นที่กทม. จะช่วยให้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้คะแนนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีความชัดเจนบ้างแล้วว่า ขุมกำลังหลักของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และล่าสุด ได้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือ ที่สื่อมวลชนมักเรียก “นายกฯน้อย”
อีกคน คือ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” อดีตโฆษกรัฐบาลคู่บุญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็น “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี”
นัยว่า ประเดิมงานแรกได้สมราคานักการเมืองรุ่นเก๋า ด้วยการให้คำปรึกษาการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเอเปค จนประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
พูดได้ว่า “ขุนพล” ประชาธิปัตย์ ทั้งเก่าและใหม่ ปักหลัก เป็นกองหนุน พล.อ.ประยุทธ์อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มส.ส.ติดตาม พล.อ.ประยุทธ์ ที่มาจากการแยกทางกับพรรคพลังประชารัฐมาเข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง
กล่าวคือ กลุ่มชลบุรีของ “เสี่ยเฮ้ง” -สุชาติ ชมกลิ่น และพวกมาสมทบกว่า 12 ชีวิต อาทินายรณเทพ อนุวัฒน์ ชลบุรี เขต 3 นายสมพงษ์ โสภณ ระยอง เขต 4 น.ส.ไพริน เทียนสุวรรณ สมุทรปราการ เขต 7
นายสมบัติ อำนาคะ สระบุรี เขต 2 พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา จันทบุรี เขต 1 นายสาธิตอุ๋ยตระกูล เพชรบุรี เขต 2 นายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ฉะเชิงเทรา เขต 2 นายสมเกียรติ วอนเพียร กาญจนบุรี เขต 2
กลุ่มภาคใต้ ของ “ธนกร วังบุญคงชนะ” ที่จะนำ ส.ส.ภาคใต้ ได้แก่ สายัณห์ ยุติธรรมนครศรีธรรมราช เขต 7 นายศาตรา ศรีปาน สงขลา เขต 2 นายพยม พรหมเพชร สงขลาเขต 3 และ ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี สงขลา เขต 4
ที่สำคัญ แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ เผยว่า ส.ส.ภาคใต้ที่เหลือที่ยังไม่ได้แสดงตัวว่าจะตาม พล.อ.ประยุทธ์ ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ เริ่มหวั่นไหว-ถอดใจที่จะปักหลักอยู่กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงต้องรอเคลียร์ให้ลงตัวเสียก่อน หากลงตัวได้ก็จะย้ายตาม
รวมทั้งกลุ่ม กทม.สาย พล.อ.ประยุทธ์ ได้แก่ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ นายชาญวิทย์ วิภูศิริ นายประสิทธิ์ มะหะหมัด
สำหรับภาคอีสาน มีกลุ่ม “อดีตคนเสื้อแดง-นปช.” ที่แสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส.ภาคอีสาน ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ นางรัตนาวรรณ สุขศาลา อดีตประธานนปช. อุดรธานี
และ นางบุญญาพร นาตะธนภัทร สมาชิก นปช.- ส.ส.พรรคพลังชาติไทย ที่อาจเข้าร่วมด้วย
สำหรับผู้เสนอตัวที่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส.อีสาน พรรครวมไทยสร้างชาติ เช่น จังหวัดอุดรธานี นายองอาจ วิเศษ อดีตประธานกลุ่มผู้รักประชาธิปไตยไทย ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต 2 นายณัฏยศ ผาจวง หรือ “ผู้ใหญ่แดงอุดร” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3
นายมานิต อินทร์อำคา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 นายธนวัฒ ขันทะวิชัย ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต 6 น.ส.อรัญญา ใจมั่น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7
ขอนแก่น นายวุฒิพงศ์ ศุภรมย์ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 5 นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต 10
กลุ่มบ้านใหญ่ เช่น บ้านใหญ่ธรรมเพชร ที่ส่งนายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร-ลูกชายนายวิสุทธิ์ธรรมเพชร รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 พัทลุง และบ้านใหญ่จุลใส แห่งชุมพร
ที่น่าสนใจ กลุ่มใหญ่ที่สุดในพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังเป็นกลุ่มอดีตแกนนำ กปปส. และกลุ่มที่ย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “อกหัก” จากผู้บริหารพรรคคนปัจจุบัน
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ ก็คือ การเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ของพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งยังเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรค ทำให้พรรคตั้งใหม่อย่างรวมไทยสร้างชาติ กลายเป็นพรรคที่น่าจับตามอง ขึ้นมาทันควัน
แถม ถ้าวัดจากขุมกำลังหลัก และส.ส.ที่จะพาเหรดเข้าพรรค ด้วยหลายเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น แรงดูด กระแสพล.อ.ประยุทธ์ พื้นที่ทับซ้อนของพรรคการเมืองอื่น ฯลฯ นับแต่นี้ต่อไป ก็จะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะที่ว่า จะได้ส.ส.ไม่ถึง 25 ที่นั่ง หรือ 5 % ที่มีสิทธิเสนอชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” จากบัญชีพรรค ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่อาจฟันธง อย่างที่ “ทักษิณ” ฟันธงล่วงหน้าเอาไว้
ประเด็นต่อมา หากมีส.ส. “ย้ายพรรค” เข้าร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จำนวนมาก ก่อนที่จะครบวาระ หรือ ยุบสภาฯ โดยเฉพาะส.ส.เก่า ที่มีฐานเสียงของตัวเองอยู่แล้ว และไม่หวังพึ่งกระแสพรรค ซึ่งการันตีชนะเลือกตั้งแน่นอน
โอกาสที่จะแย่งส.ส.จากพรรคเพื่อไทย เหมือนกับพรรคภูมิใจไทย ก็มีโอกาสสูง นั่นหมายถึง จะยิ่งทำให้โอกาสที่พรรคเพื่อไทย จะได้ส.ส.แบบแลนด์สไลด์ หรือ ถล่มทลายตามฝัน หรือ 250 ที่นั่ง ต้องมลายหายสิ้นไปด้วย
ประเด็นของ พรรคเพื่อไทย ถ้าจะให้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ต้องหวังเสียงจาก ส.ว. 250 เสียง(ที่มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ)มากนัก ต้องได้รับเลือกตั้งอย่าง “ถล่มทลาย” ถึง 250 เสียง (รวมส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ)เท่านั้น ก่อนที่จะไปรวบรวมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้เกินครึ่งของทั้งสองสภา (500 บวก 250)
นี่คือ สาเหตุที่พรรคเพื่อไทย เสนอแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ประเด็น “ปิดสวิตช์ส.ว.” ยกเลิกอำนาจเลือกนายกฯ แต่จะทำได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความฝันและความหวัง “ทักษิณ” ที่อยากเห็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธารลูกสาวคนเล็ก สืบทายาท “นายกรัฐมนตรี” เพื่อกรุยทางกลับบ้านแบบเท่ๆ ก็พลอยริบหรี่ตามไปด้วย
มาถึงจุดนี้ อาจวิเคราะห์ได้ว่า รัฐบาลหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ยังคงแย่งชิงอำนาจรัฐกันอยู่“สองขั้ว” เช่นเคย คือ “ขั้วรัฐบาลเก่า” โดยมีสูตรผสมดังนี้
สูตรแรก พรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะโอกาสได้ส.ส.มากที่สุดในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีสูง ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ และประชาธิปัตย์ เป็นหลัก และอาจมีพรรคเล็กเข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เสียงไม่ปริ่มน้ำมากนัก โดย นายกรัฐมนตรี คือ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูลหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ขณะที่ สูตรเดียวกันนี้ แต่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” มีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าชิงด้วย หากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ส.ส.เข้ามาครบตามรัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ ซึ่งสูตรนี้ หากปล่อยให้โหวตแบบเสรี ก็จะสร้างความชอบธรรมได้ไม่น้อย เพราะหลายคนไม่ต้องการให้มีการใช้เสียงส.ว.250 เสียง เพื่อสานต่ออำนาจใครคนใดคนหนึ่งนั่นเอง
ส่วน “ขั้วพรรคฝ่ายค้านเดิม” สูตรแรก หากพรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์หรือ ถล่มทลาย ได้ส.ส.ถึง 250 ที่นั่ง โอกาสที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล มีความเป็นไปได้สูง เพราะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แม้ว่า นโยบายแก้ไข ป.อาญา ม.112 (กฎหมายว่าด้วยหมิ่นสถาบันฯ) พรรคเพื่อไทย จะยัง “แทงกั๊ก” ที่จะแก้ไขก็ตาม แต่ไม่ปฏิเสธเสียทีเดียว เหมือนพรรคการเมืองอื่น นอกจากนี้ อาจมีพรรคเล็กเข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง
สูตรนี้ แน่นอน, นายกรัฐมนตรี ก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถ้า “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี”พรรคเพื่อไทย เป็นไปตามที่คาดหมาย
อย่างไรก็ตาม ยังมีการกล่าวถึงบางสูตร ของขั้วพรรคฝ่ายค้าน แบบ “ดีลพิเศษ” นั่นคือพรรคเพื่อไทย ไม่ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ แต่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 แล้วสามารถหา “พรรคร่วมรัฐบาล” จนมีเสียงสนับสนุนอย่างเพียงพอได้
สูตรนี้ จำเป็นต้องมี “ดีลพิเศษ” เกิดขึ้น นั่นคือ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามกระแสข่าวที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
โดย ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจมีการต่อรองสูง เป็นไปได้ทั้งเสนอชื่อพล.อ.ประวิตรคนเดียว เสนอ “อุ๊งอิ๊ง” แข่งกับพล.อ.ประวิตร หรือไม่ก็ เสนอ “อุ๊งอิ๊ง” คนเดียว เพราะอย่าลืม เป็นอันขาดว่า ส.ว.250 คน พล.อ.ประวิตร มีส่วนแต่งตั้งด้วย
และถ้าเป็นไปตามสูตรนี้ คนที่เสียหาย จะไม่แต่เฉพาะพล.อ.ประวิตร ที่จะถูกมองเรื่องหวังผลประโยชน์ทางการเมืองล้วนๆเท่านั้น หากแต่พรรคเพื่อไทย ก็จะถูกโจมตีเรื่องไม่มีอุดมการณ์ รวมทั้งพาดพิงถึงเกมของ “ทักษิณ” ที่มีผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประชาชน สุดท้าย ก็ยากที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ได้ เพราะความชอบธรรมอาจต่ำกว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ในปัจจุบันเสียอีก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่ารัฐบาลขั้วอำนาจไหน สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ก็คือ รัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำ” ปัญหาแจกกล้วยจะตามมาอีก “ส.ส.งูเห่า” จะ “เริงร่า” เป็นอย่างยิ่ง
เว้นเสียแต่ ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง อย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน จากหน้ามือเป็นหลังมือจากที่วิเคราะห์ไว้เท่านั้นเอง