'40 สว.' ยื่นถอดนายกฯ ผิดคน ?

ข่าวใหญ่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนีไม่พ้นปฏิบัติการของ “40 สว.” ที่ยื่นถอดถอนนายกฯเศรษฐา และคุณพิชิต ชื่นบาน ออกจากตำแหน่งเสนาบดี

โดยอ้างเหตุเรื่องคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160

คุณพิชิต ในฐานะ “ต้นเหตุ” แห่งคำร้อง ตัดสินใจลาออก โดยใช้หลักคิดแนวๆ “เสียม้า…รักษาขุน” เพื่อหวังเซฟท่านนายกฯเศรษฐา แต่สุดท้ายไม่เป็นผล เพราะศาลรัฐธรรมนูญยังคงรับวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของนายกฯเศรษฐาอยู่ดี เพียงแต่ไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เท่านั้นเอง

เมื่อเฝ้ามองสถานการณ์การเมืองในฐานะคนนอก ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ต้องบอกว่าบ้านเราขยันเล่น “นิติสงคราม” กันจริงๆ เลือกตั้งมาแล้วก็ไม่จบ
มีอันต้องยื่นถอด ร้องให้ล้ม ดึงให้ตกจากเก้าอี้ อยู่ร่ำไป

การเมืองไทยช่างไร้เสถียรภาพ จะเดินหน้าพัฒนา พูดคุยเจรจาความเมือง เปิดทางนักลงทุนต่างชาติ เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยือน ก็ทำได้ไม่ถนัด

เลือกตั้งมาได้ไม่ถึงปี ไม่ใช่แค่นายกฯถูกยื่นถอดถอนเท่านั้น ข่าวคราวปฏิวัติรัฐประหารดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอีกแล้ว

จึงไม่แปลกที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขจีดีพีออกมา ไทยรั้งท้ายของอาเซียน แพ้ทุกประเทศที่เป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียงกัน เวียดนาม มาเลเซีย หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ ล้วนแซงหน้าไทย ไม่ใช่แค่สิงคโปร์เจ้าเดิม

ความถดถอยทุกด้านของประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากโครงสร้างการเมืองไทยที่แปลกประหลาด เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ เผด็จการก็ไม่เชิง หรือจะสมบูรณาญาสิทธิ์ ก็พูดได้ไม่เต็มปาก

มันก้ำๆ กึ่งๆ มีอำนาจซ้อนอำนาจ มีมือที่มองไม่เห็น มีระบบศาลและองค์กรอิสระที่มีอำนาจตรวจสอบได้ทุกเรื่อง จัดการได้ทุกคน โดยเฉพาะคนและพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกมา

ส่วนพวกที่ยึดอำนาจมา จัดการอะไรเขาไม่ได้ เพราะเข้ามาร่างกฎกติกาคุ้มครองตัวเองแน่นหนา กลายเป็นโครงสร้างการเมืองบิดเบี้ยวนิรันดร

ตัวอย่างชัดที่สุดคือ คำสัมภาษณ์ของอดีตนายกฯทักษิณที่โคราช สะท้อนทุกปัญหาที่กล่าวมา รวมถึงปัญหารัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นายกฯตัวจริง ไม่ได้ชื่อเศรษฐา ทวีสิน เหมือนที่ทั้งโลกเข้าใจด้วย

เมื่อวานอดีตนายกฯทักษิณ ยังมีสถานะเป็น “ผู้อยู่ระหว่างการพักการลงโทษ” แต่เดินทางอิสระเหมือนคนพ้นโทษแล้ว และยืนให้สัมภาษณ์ด้วยลีลาเหมือน “นายกฯให้สัมภาษณ์​สื่อ” ไม่ใช่คนที่ได้รับอนุญาตจากกรมราชทัณฑ์ หรือกรมคุมประพฤติให้ไปร่วมงานศพในต่างจังหวัด

อาจารย์ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย หนึ่งในนักวิชาการที่ “ฟันธง” ตั้งแต่ไก่โห่ หลังศาลรับคำร้องนายกฯเศรษฐา แค่ไม่กี่นาที ว่า “งานนี้นายกฯรอดแน่นอน” ช่วยถอดรหัสคำสัมภาษณ์ของ “อดีตนายกฯทักษิณ” ว่าเป็นการการันตี 3 อย่างด้วยกัน

- คนนี้คือ “ของแทร่” (ศัพท์วัยรุ่นจากเพลงดัง หมายถึง “ของแท้)

- นายกฯเศรษฐา รอดแน่

- อดีตนายกฯคุมสถานการณ์ได้ทุกอย่าง

เรานำมุมมองของอาจารย์มาคิดต่อยอดเป็นข้อๆ ได้แบบนี้

1.อดีตนายกฯ บอกว่า “ผมแก่แล้ว มีหน้าที่แค่ให้คำปรึกษาน้องๆ” คำกล่าวแบบนี้ แปลว่า “เป็นคนสั่งการเองทั้งหมด”

2.อดีตนายกฯ บอกว่า “คนในแวดวงรู้ว่า 40 สว. ใครเป็นใคร เป็นคนของใคร” พูดแบบนี้ แปลว่า เตรียมเปิดศึก-เช็คบิล “ลุงบ้านป่า”

งานนี้ต้องจับตา ล้างไพ่ ปรับ ครม.ใหม่ อาจเขี่ย “ลุง” ออกจากรัฐบาล แต่ยังคงพรรคพลังประชารัฐสาย “ผู้กอง” เอาไว้

ส่วน “ลุง” ที่ถูกเขี่ยออก หายไปกี่เสียง ก็ดึงประชาธิปัตย์มาชดเชย รัฐบาลปึ้กกว่าเดิม แถมได้ภาพ “มีเรา ไม่มีลุง” ของจริง

3.อดีตนายกฯ บอกว่า “ไม่มีทางล้มนายกฯเศรษฐาได้” และบอกว่า “อยากให้นายกฯนิดอยู่นานที่สุด” พูดแบบนี้แปลว่ามั่นใจ คุมเกมได้ เอาอยู่ ยืนยันว่า “นายกฯเศรษฐา รอด” และจะอยู่ยาวจนกว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์จะพร้อมรับไม้ต่อ

แต่หากนายกฯเศรษฐาไม่รอด ก็วนกลับไปข้อ 2 เข้าทางล้างไพ่ จัด ครม.ใหม่อีกเหมือนกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าพรรคก้าวไกลมีคิวถูกยุบ และพรรคเพื่อไทยก็มีดีล ต่อสาย “ดูด-ดึง” สส.สายส้มเข้าพรรคจำนวนมาก

ไม่ใช่ว่าเพื่อไทยไม่รู้ว่า สส.พวกนี้คือ “สส.นกแล” ได้มาเพราะกระแสพรรค ส่งลงเลือกตั้งครั้งหน้าก็เสียของ แต่เพื่อไทยรู้ และดึงมาไม่ใช่เพื่อหวังผลระยะยาว แต่ต้องการผลระยะสั้น คือเพิ่มจำนวนเสียงในสภาชุดปัจจุบัน เมื่อต้องล้างไพ่ใหม่ ก็จะปรับโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีใน ครม.ชุดใหม่ ยึดกุมกระทรวงสำคัญมาอยู่ใต้ร่มพรรคเพื่อไทยทั้งหมด

ไม่ว่าจะมหาดไทย ศึกษาฯ หรือแม้แต่แรงงาน เพื่อสร้างผลงานเรือธง คุมเบ็ดเสร็จข้าราชการทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น เตรียมรับมือการเลือกตั้งครั้งต่้อไป

รหัสที่ถอดได้เพิ่มเติมจากอดีตนายกฯ ก็คือ

1.ไม่มั่นใจจริงๆ ไม่กล้าพูดแบบนี้

2.โยนแรงกดดันกลับไปที่ 40 สว. บอกเลยว่า “รู้นะ ใครอยู่เบื้องหลัง” และตัวเองยังมีแต้มต่อ ยังปรับ ครม.ได้ ให้ย้อนฟังนายกฯเศรษฐา พูดเมื่อวันศุกร์ จะปรับ ครม.ใหญ่ มากกว่า 1 ตำแหน่ง เพราะตอนนี้ก็ว่าง 2 เก้าอี้แล้ว

แปลว่าอาจถีบบางพรรค บางกลุ่ม ออกก็เป็นได้ เพราะประชาธิปัตย์ ก็รอเป็นอะไหล่อยู่นานแล้ว

3.แสดงให้เห็นเลยว่า “เป็นนายกฯตัวจริง” ให้คำปรึกษา โทรคุยนายกฯเศรษฐา ตลอด โดยนัยแล้ว ใครฟังก็รู้ว่า เป็นการสั่ง หรือแนะนำ ไม่ใช่แค่คุย ให้คำปรึกษาธรมดา

เพราะผลที่ออกมาก็คือ ถ้อยคำที่บอกว่า “ตอนนายกฯอยู่ต่างประเทศ ก็บอกว่าต้องประชุม ครม.เศรษฐกิจกันวันจันทร์นี้แล้ว” เนื่องจากห่วงสถานการณ์เศรษฐกิจ สภาพัฒน์หั่นตัวเลขจีดีพี และจากการลงพื้นที่ รู้ว่าประชาชนลำบาก

แถมอดีตนายกฯยังแสดงวิสัยทัศน์ว่าเศรษฐกิจมี 2 ขา คือ

หนึ่ง ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ

สอง การผลิตภายใน

ฉะนั้นเมื่อนายกฯไปเดินสายดึงนักลงทุนจากต่างประเทศ เรียกความเชื่อมั่นแล้ว จึงต้องกลับมาแก้ปัญหาภายใน นั่นก็คือ ประชุม ครม.เศรษฐกิจ

พูดถึงการประชุม ครม.เศรษฐกิจ มีมาหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะช่วงรัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณเอง ก็มีการประชุมตลอด แต่ในช่วงรัฐบาล “บิ๊กตู่” ไม่มีนโยบายประชุม ครม.เศรษฐกิจ อาจเป็นเพราะ “บิ๊กตู่” เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง จึงสั่งตรงได้ทุกอย่าง

สำหรับการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ในยุคที่ผ่านๆ มา จะประชุมกันเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น แบงก์ชาติ สภาพัฒน์ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง

โดยมากจะประชุมกันวันจันทร์ เพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก่อนนำเข้า ครม.ใหญ่วันอังคาร

การประชุม ครม.เศรษฐกิจ จะส่งผลทางจิตวิทยาว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจเป็นพิเศษ และทำให้เรื่องเศรษฐกิจถูกพูดถึง ชิงพื้นที่ข่าว สร้างการรับรู้กับประชาชนมากขึ้น

การที่นายกฯเศรษฐา เตรียมประชุมครม.เศรษฐกิจ ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามนโยบายของอดีตนายกฯทักษิณ อย่างชัดแจ้ง จนนายกฯเศรษฐาต้องให้สัมภาษณ์ออกตัวว่า อดีตนายกฯไม่ได้สั่ง

แต่คนใกล้ชิดรู้ดีว่า อดีตนายกฯทักษิณ กำกับดูแลงานของนายกฯเศรษฐาทุกฝีก้าว ก่อนหน้านี้ที่เคยมีข่าวว่า นายกฯเศรษฐา เตรียมจัดรายการนายกฯพบประชาชน พูดผ่านสื่อวิทยุและช่องทางการสื่อสารต่างๆ ทุกวันอาทิตย์

ปรากฏว่า อดีตนายกฯทักษิณไม่เห็นด้วย แล้วข่าวนี้ก็เงียบหายไป ไม่ได้เริ่มจัดรายการนายกฯพบประชาชนตามที่ประกาศเอาไว้

งานนี้ชัดเจนว่า “ใครของแทร่” ใครคือนายกฯตัวจริงกันแน่ และมันก็แปลว่า 40 สว.ยื่นถอดนายกฯ ผิดคน !?!