“ทักษิณ” ก็ไม่มีข้อยกเว้น บ่วง ม.112

“ทักษิณ” ก็ไม่มีข้อยกเว้น บ่วง ม.112

แม้บางฝ่ายจะค่อนข้างตื่นเต้น ปลุกกระแสในโลกโซเชียลกันยกใหญ่ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง คดีอันเนื่องมาจากทำผิด ป.อาญา ม.112(หมิ่นสถาบันฯ) และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ซึ่งเป็นคดีที่เหลืออยู่ หลังก่อนนี้ถูก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสิน 3 คดี จำคุก 8 ปี ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี กระทั่งเวลานี้อยู่ระหว่าง “พักโทษ” หลังอ้างป่วยหนัก โดยกรมราชทัณฑ์ส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลตำรวจครบ 6 เดือน 

แต่ประเด็นที่ “ทักษิณ” ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี  ไม่ได้ติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว ก็มีความหมาย มีการเชื่อมโยงถึง “ดีล” หลังเลือกตั้งที่ปรากฏว่า พรรคการเมืองขั้วฝ่ายอำนาจแพ้เลือกตั้งอย่างราบคาบ โดยพรรคก้าวไกล ที่อิงกระแสคนรุ่นใหม่ และคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ชนะเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 1 ได้ส.ส. 151 ที่นั่ง ขณะที่พรรคเพื่อไทย ที่ตั้งเป้าหมายชนะแบบแลนด์สไลด์(ถล่มทลาย) มาเป็นอันดับ 2ได้ส.ส. 141 ที่นั่ง จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง

ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายขั้วอำนาจ เริ่มมองเห็นอันตรายอันใหญ่หลวง หากปล่อยให้ “ก้าวไกล” เติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้น หนึ่งในนโยบายหลักของพรรคก้าวไกล ยังต้องการแก้ ป.อาญา ม.112 ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับขั้วอำนาจ 

และก็ไม่แปลก ที่จะเห็นคนอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย “ตระบัดสัตย์” กับขั้วพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ ฝ่ายประชาธิปไตย มาจูบปากจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายขั้วอำนาจ ทั้งที่โจมตีเขามาตลอดว่า เป็น “นั่งร้านให้เผด็จการ” 

นัยว่า “ดีล” ระหว่าง “ทักษิณ” กับ “ขั้วอำนาจ” ก็คือ การให้โอกาสเดินทางกลับไทยมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย และฟื้นศรัทธาประชาชนให้ฝ่ายขั้วอำนาจใด้กลับมามีที่ยืนทางการเมืองอีกครั้ง ส่วนตื้นลึกหนาบางไปกว่านั้น นอกจากทั้งสองฝ่ายที่เจรจากันแล้ว ก็ไม่มีใครทราบได้ 

ในขณะเดียวกัน แม้ว่า “ทักษิณ” จะยังเหลือคดีที่เป็นบ่วงมัดสำคัญ คือ ป.อาญา ม.112และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่จาก “ดีล” ดังกล่าว นักวิเคราะห์การเมืองต่างเชื่อมั่นไปในทางเดียวกันว่า “ทักษิณ” อาจรอดจากการถูกสั่งฟ้อง ของอัยการสูงสุด 

ยิ่งการเคลื่อนไหวแบบไม่เปิดเผยของอัยการสูงสุดในการแจ้งข้อหากับ “ทักษิณ” รวมทั้งมีคำสั่งสอบสวนเพิ่ม กรณีผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความไม่ชอบไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่างหรือไม่ 

แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 อัยการสูงสุด ก็สั่งฟ้อง “ทักษิณ” ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 112 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ต.ค. 2519 ข้อ 1 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8

ทั้งนี้ ถ้ายิ่งย้อนดูไทม์ไลน์ที่ยื้อกันมานับ 9 ปีก็ยิ่งน่าสนใจ

เริ่มจาก 9 พ.ย. 2558 “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้พาดพิงสถาบันฯ จนนำมาสู่การเอาผิดคดีม.112 ซึ่งมีอายุความ 15 ปี (2558-2573)

16 ก.พ. 2559 อัยการได้รับสำนวนคดี “ทักษิณ” ทำผิด ม.112 และผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

19 ก.ย. 2559 สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง แต่ “ทักษิณ” อยู่ระหว่างหลบหนี จึงถูกออกหมายจับ

17 ม.ค. 2567 นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ เข้าแจ้งข้อกล่าวหา “ทักษิณ” ขณะพักรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ 

19 ก.พ. 2567 “ทักษิณ” เข้ารายงานตัว รับทราบข้อหา แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมกับยื่นขอความเป็นธรรม

10 เม.ย. 2567 อัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งคดี แต่เนื่องจากพนักงานสอบสวนส่งผลสอบสวนเพิ่มเติมมาไม่ครบถ้วน และ “ทักษิณ” ก็ไม่ได้มาฟังคำสั่งฟ้องด้วยตัวเอง จึงมีการเลื่อนออกไป และนัดใหม่วันที่ 29พ.ค.2567  

25 พ.ค. 2567 “ทักษิณ” ให้ทนายเลื่อนฟังคำสั่งอัยการสูงสุด โดยอ้างเหตุติดโควิด-19

29 พ.ค. 2567 นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด อ่านคำสั่งคดี “ทักษิณ” ทำผิด ม.112 ตามกำหนดเดิมโดยมีความเห็นสั่งฟ้อง “ทักษิณ” และนัดส่งตัวฟ้องศาล เวลา 09.00 น. วันที่ 18มิ.ย.2567

เมื่อเป็นเช่นนี้ กระแสความสนใจจึงพุ่งเป้าไปที่วันที่ 18 มิ.ย.2567 ที่ “ทักษิณ” จะถูกนำตัวส่งฟ้องศาล แล้วจะได้ประกันตัวหรือไม่ และดูเหมือน “ทักษิณ” เอง ก็ไม่มั่นใจ ว่าจะได้ประกัน นับแต่ขอเลื่อนฟังคำสั่งศาล เพื่อตั้งหลัก แล้ว? 

กระนั้น ความเป็นไปได้ที่ “ทักษิณ” จะได้ประกันตัว เพื่อต่อสู้คดีถึง 3 ศาล ก็ไม่ตีบตันเสียทีเดียว  

โดยเฉพาะข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราว และวิธีเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวไว้ เช่น ต้องมาศาลตามกำหนดนัด-ห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน-ห้ามเดินทางออกนอกประเทศหรือออกนอกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง รวมถึงแม้แต่การให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางได้ ในกรณีที่ ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีความเสี่ยงสูงที่จะหลบหนี เป็นต้น

ถ้าดูจากเงื่อนไขแค่นี้ ถ้า “ทักษิณ” บริสุทธิ์ใจที่จะต่อสู้คดี สามารถทำได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ “คิดหนี” แต่ถ้าคิดหนี จะตัดสินใจเดินทางกลับไทยทำไมตั้งแต่แรก เพราะรู้อยู่แล้วว่า จะต้องถูกดำเนินคดีนี้ด้วย? 

อีกอย่าง การดำเนินคดี ม.112 กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ จะเห็นว่า ศาลให้ประกันตัวเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นแกนนำบางคนที่ได้ประกันตัวแล้ว กระทำความผิดซ้ำ จึงไม่ได้ประกันตัวอีกเท่านั้น  

ดังนั้น ถ้า “ทักษิณ” ยืนยันได้ว่า จะไม่ทำผิดซ้ำ หรือ ผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราว ก็ไม่น่าจะมีเหตุไม่ให้ประกันตัว 

ปัญหาหนักใจ “ทักษิณ” มีเพียง พยานหลักฐานทั้งหมดที่อัยการสูงสุดใช้ฟ้องคดีมัดแน่นแค่ไหน จะต่อสู้อย่างไรให้หลุดพ้นข้อกล่าวหาต่างหาก 

รวมถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะต้องทำตามเงื่อนไข “ประกันตัว” นั่นเอง 

นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงการต่อสู้คดี ดูเหมือน “ทักษิณ” มี 3 ทางเลือกเท่านั้น หนึ่ง - ประกันตัว ต่อสู้คดีจนถึงที่สุด สอง - รับสารภาพ เพื่อรับโทษสถานเบา เพราะไม่เคยทำผิดคดีนี้มาก่อน และสาม - หลบหนีคดี เหมือนในอดีต โดยคาดกันว่า คดีนี้กว่าจะตัดสินคงใช้เวลาอีกหลายปี

คำถามที่ตามมา การฟ้องคดีม.112 “ทักษิณ” เท่ากับ “ดีล” จบลงแล้วหรือไม่ หรืออย่างไร ประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่งก็คือ กรณีวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอมรับการทาบทามเป็นที่ปรึกษา สำนักนายกรัฐมนตรี ให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อาจไม่ใช่แค่ช่วยด้านกฎหมาย กรณีถูก 40 ส.ว.ร้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง ปมแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ ขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญ เท่านั้น 

หากแต่วิเคราะห์กันว่า นายวิษณุ เครืองาม ไม่ใช่คนที่จะรับงานนี้ง่ายๆ ถ้าไม่มี “ใบสั่ง” นั่นเท่ากับเป็นการการันตี “ดีล” ยังอยู่ หรือไม่ 

ดังนั้น เมื่อนายวิษณุ ไม่ขัดข้องที่จะช่วยรัฐบาลเศรษฐา “ดีล” จึงยังคงอยู่ และ “วิษณุ” อาจเป็น คำตอบปลดบ่วง “เศรษฐา” และ “ทักษิณ” จากเงื้อมมือศาล อยู่ในเวลานี้ด้วย หรือไม่? 

ประเด็นที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ความศักดิ์สิทธิ์ของ ป.อาญา ม.112 ที่ไม่ว่าใครล่วงละเมิดก็ต้องดำเนินคดี ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ “ทักษิณ” 

เพราะไม่เช่นนั้น สถานการณ์ขัดแย้งทางการเมือง ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการนำเอาเงื่อนไขความไม่เสมอภาค-เท่าเทียม มาจุดประกายไฟ“ขบวนการยุติธรรมล่มสลาย” เลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน เปรียบเทียบระหว่างเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่ถูกดำเนินคดี ม.112 กับ “ทักษิณ” อะไรจะเกิดขึ้น

อย่าลืมว่า สถานการณ์ที่ผ่านมา ซึ่ง “ทักษิณ” รอดคุกรอดตะรางมาได้ แตกต่างกับ “นักโทษ” คนอื่น มันหมายความว่าอะไร จนวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ประชาชนคนไทยรับได้ 

ถ้ายิ่งทำผิด ป.อาญา ม.112 แล้วถูกละเว้นไม่เอาผิด สั่งไม่ฟ้อง ก็เท่ากับว่า เลือกปฏิบัติ สองมาตรฐาน อย่างเห็นได้ชัดทันที แล้วอย่างนี้ “ขบวนการยุติธรรมไทย” จะเหลืออะไร? 

อย่าลืมว่า ข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ และพรรคก้าวไกลในการแก้ไข และยกเลิก ป.อาญา ม.112 ก็คือ ถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง

เหนืออื่นใด คำสั่งฟ้องของอัยการสูงสุด ยังทำให้เห็นว่า ไม่มีทางที่ “ทักษิณ” จะได้ทุกเรื่อง อย่างไม่มีข้อยกเว้น กรณีความผิด ป.อาญา ม.112 ก็เช่นกัน ส่วนผลจะเป็นอย่างไร อยู่ศาลจะตัดสิน!