นิติสงคราม 'ฝ่ายแค้น' กับคำว่าไปวัด 'หมาเห่า'
หลังจาก “ฝ่ายแค้น” โหมกระแสกันมายกใหญ่ ว่างานนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ไม่รอดแน่ และเชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องเอาไว้วินิจฉัย เหมือนคดีที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกล ถูกร้อง จนนำมาสู่การ “ยุบพรรค” ในที่สุด
เพราะ คำร้อง “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” นักกฎหมาย(ผู้ร้อง) แม้แต่ “เลขาธิการ” พรรคการเมืองบางพรรค ที่ถูกเขี่ยพ้นพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เห็นแล้ว ยังยกนิ้วให้ ว่า มีพยานหลักฐานแน่นหนา เขียนคำร้องได้ดี
“ธีรยุทธ” ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกระทำอันเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤติ
ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกฯ กัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทย ให้แก่ ประเทศกัมพูชา
ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่บ้านพักส่วนตัวผู้ถูกร้องที่ 1
ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับ “พรรคพลังประชารัฐ” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
แต่ผลปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ “ไม่รับคำร้อง” ประเด็นที่ 1 และ 3 ถึง 6 ส่วนประเด็นที่ 2 มีมติด้วยเสียงข้างมาก ไม่รับคำร้องเช่นกัน
ทั้งนี้ศาลฯระบุว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้ว และอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม
แต่ว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่ และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ
ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6
สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นี่ไม่เพียง “ดับฝัน” ฝ่ายแค้นที่จองกฐินล้างแค้น “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย เอาไว้เท่านั้น หากแต่ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยเอง ก็โล่งอกไปไม่น้อยเช่นกัน
ความจริง ถ้าอ่านบทความ แก้วสรร อติโพธิ นักกฎหมายคนสำคัญ(22 พ.ย.2567) ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่า ผลจะออกมาอย่างไร
“แก้วสรร” ชี้ว่า “คำร้องนี้ผมขบคิดแล้ว เป็นเรื่องขอให้ศาลจัดการกับการกลับมาของ “ระบอบทักษิณ” เป็นสำคัญ เขาชี้ว่า ทักษิณไม่ยอมติดคุก แล้วแฝงตัวครอบงำพรรคเพื่อไทยในการอำนวยการปกครองประเทศ มุ่งใช้อำนาจโดยมิชอบเจรจาแบ่งทรัพยากรไทยใต้ทะเลให้เขมร ปล่อยนานไปประเทศไทยชิบหายแน่
การร้องเสนอเป็นภาพรวมทั้งหมดอย่างนี้ มันเข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญลำบาก จะให้ศาลสั่งบังคับใครอย่างไรก็ไม่ทราบ ที่สำคัญแต่ละเรื่องก็มีแนวทางจัดการตามกฎหมายเฉพาะต่างๆอยู่แล้ว
“แก้วสรร” ยกตัวอย่าง เรื่องครอบงำพรรคนั้นหลักฐานที่เขารวบรวมมาผมเชื่อว่าแน่นหนาทีเดียว เรื่องนี้มีผลให้ต้องยุบพรรค และจำคุกผู้เกี่ยวข้องได้ แต่ตามระบบแล้วจะเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็ด้วยคำร้องของ กกต. ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองเท่านั้น
พร้อมชี้ว่า คำร้องของ “ธีรยุทธ” ไม่ใช่คดีใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่เป็นคดีไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้นซึ่งมีการจัดการตามกฎหมายต่างๆอยู่แล้ว คดีก้าวไกลนั้น คุณจะเห็นชัดว่า เป็นเรื่องใช้สิทธิรวมตัวเป็นพรรค เสนอเลิก ๑๑๒ ให้รัฐไม่ต้องคุ้มครองกษัตริย์เช่นสถาบันส่วนรวมอีกต่อไป รู้เห็นสอดรับกับการใช้สิทธิชุมนุมทางการเมือง เคลื่อนไหวโจมตีให้เห็นสถาบันเป็นเป้าหมายแห่งความเกลียดชังอย่างเข้มข้น พฤติการณ์ความเคลื่อนไหวอ้างสิทธิในรัฐธรรมนูญแล้วทำลายตัวรัฐธรรมนูญเสียเอง อย่างนี้ นี่แหละครับที่ศาลรัฐธรรมนูญจัดการโดยคำร้องโดยตรงของประชาชนได้”...
ขณะเดียวกัน ประเด็นของ “วันชัย สอนศิริ” อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ก็นับว่าน่าสนใจ
“วันชัย” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง “สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ” หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง ระบุว่า
“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องว่าพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณไม่ได้ล้มล้างการปกครอง เป็นการตบกระบาลเปรี้ยงไปยังบรรดานักร้องจนหน้าคว่ำคะมำไปตามๆกัน แท้ที่จริงนักร้องพวกนี้คือพวกที่พยายามจะล้มล้างและเซาะกร่อนบ่อนทำลายรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา หาเรื่องจับแพะชนแกะ โยงเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัดให้เป็นประเด็น เป็นนิติสงคราม เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง คำวินิจฉัยในวันนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า อย่าร้องกันมั่วๆส่งเดช ไม่เข้าท่าเข้าทาง
คนพวกนี้สู้ในสภาก็ไม่ได้ จะจัดม็อบนอกสภาก็ไม่ไหว ทำอย่างไรก็จุดไม่ติด การร้องศาลรัฐธรรมนูญก็คงเป็นวิธีเดียวที่คนพวกนี้จะทำได้ เคยได้ผลเรื่องคุณเศรษฐามาแล้วก็เลยได้อกได้ใจ หวังว่าจะเอาศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือกำจัดรัฐบาลเหมือนที่เคยทำได้ แต่ศาลท่านไม่เอาด้วย ยิ่งผลคะแนนที่ออกมานั้นมันเกือบจะเอกฉันท์เต็มร้อย ทำให้ไอ้ห้อยไอ้โหนประเภทนักร้องที่จะเล่นเกมแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ ทำให้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ...”
แน่นอน, หลายคนมองว่า ตราบใดที่ “ทักษิณ” ยังคงแสดงบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องทางการเมือง และตราบใด“อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ยังเป็นนายกรัฐมนตรี คำร้องต่างๆ ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้องไปแล้ว หรือ อยู่ในการไต่สวนของ กกต. และ ป.ป.ช. อาจเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น
ยังจะมีคำร้อง เป็นเงาตามตัว “ทักษิณ” ตามมาอีกจำนวนมาก ก็เป็นได้ เพียงแต่จะเอาผิดได้หรือไม่เท่านั้นเอง
เรื่องนี้ ใช่ว่า “ทักษิณ” จะอ่านเกมไม่ออก และรู้ไม่เท่าทันเกมที่ฝ่ายแค้น “จองกฐิน” ล้างแค้นอยู่แล้ว
เห็นได้จากการสนทนาแบบ One-on-One ตอบคำถามหลากหลายกับสตีฟ ฟอร์บส์ ประธานและบรรณาธิการบริหารของ Forbes Media ในงาน Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 (21 พ.ย.2567) ที่โรงแรม The Ritz Carlton, One Bangkok ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กทม.
“ทักษิณ” กล่าวตอนหนึ่งว่า ชีวิตเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์ ผ่านความยากลำบากมากมาย ก่อนจะประสบความสำเร็จ ในโลกของธุรกิจ เห็นนรกก่อนเห็นสวรรค์ ขณะที่ในทางการเมืองนั้น เห็นสวรรค์ก่อนนรก
ลงเล่นการเมืองเพราะคิดอยากช่วยเหลือคนยากจน ช่วงประสบความสำเร็จมาก เห็นสวรรค์ในการเมือง และเห็นนรกตามมาทีหลัง “นรก สวรรค์คือชีวิตผมเลย มีขึ้นและมีลง” ตอนนี้คิดว่า น่าจะอยู่บนพื้นดินแล้ว ไม่เอาสวรรค์ ไม่เอานรก
“ทักษิณ” กล่าวด้วยว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการถูกฟ้องร้องกล่าวหาจากคดีต่างๆ เพราะเห็นทั้งนรกและสวรรค์มาแล้ว วันที่ 22 พฤศจิกายน ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน รู้สึกว่าโอเค แค่รอฟังคำตัดสินและก้าวต่อไปข้างหน้า เราไม่ย้อนกลับไปอดีต ไปข้างหน้าอย่างเดียว
ที่น่าสนใจกว่านั้น “ทักษิณ” เปรียบเทียบปัญหาอุปสรรคในชีวิตว่า เวลาไปวัดไหว้พระเพื่อความสงบทางจิตใจ อาจจะมีหมาเห่าระหว่างทางบ้าง ไม่เป็นอะไร ไปแล้วกลับมานอน
“ระหว่างทางที่จะไปอาจจะมีหมาเห่า แต่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำไมหมาถึงเห่า ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหมา” เขาบอกว่า 17 ปีที่ไปอยู่ต่างแดน จำเป็นที่จะต้องรักษาความสงบในจิตใจ ถ้าคิดลบเกี่ยวกับตัวเองก็คงอยู่ไม่ได้มาจนถึงตอนนี้...
ดูเหมือนคำพูด “ทักษิณ” กับ นิติสงครามของ “ฝ่ายแค้น” มันเข้าใกล้คนละเรื่องเดียวกันเข้าทุกที หรือใครว่าไม่จริง