'ขาดภาวะผู้นำ' คำเดียว 'นายกฯอิ๊ง' ตอบได้ จบ!

ดูเหมือนกระแสร้อนทางการเมืองเวลานี้ คงหนีไม่พ้น ศึกซักฟอก หรือ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ระหว่าง “นายกฯอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับ “ฝ่ายค้าน” ที่เดิมพันสูงทั้งคู่ “นายกฯอิ๊งค์” คือ ความเชื่อมั่นของประชาชนที่จะบริหารประเทศต่อไป
ขณะที่ฝ่ายค้าน คือ “ศรัทธา” และคะแนนนิยมทางการเมือง เพื่อเก็บสะสมไปสู้ศึก เลือกตั้ง ปี 2570 ส่วนจะหวังล้มรัฐบาลด้วยมติไม่ไว้วางใจ คงเป็นเรื่องยาก เพราะคะแนนเสียงส.ส.ซีกรัฐบาลในสภาฯ ห่างกันมากกับฝ่ายค้าน
ศึกครั้งนี้ จะเริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 ซึ่งวันที่ 26 มีนาคม จะเป็นวันลงมติไว้วางใจหรือไม่ ทั้งนี้ลงตัวว่าฝ่ายค้านได้เวลา 28 ชั่วโมง คณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลได้ 7 ชั่วโมง ส่วน ประธานได้ 2 ชั่วโมง
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่หลายคนจับตา คือ ฝ่ายค้านเลือดผสม ระหว่างพรรคคนรุ่นใหม่ กับพรรค “พลังแค้น” อย่าง พลังประชารัฐ จะโชว์ลีลาลวดลายซักฟอกได้เด็ดสะระตี่ขนาดไหน สมกับราคาคุย ที่ปล่อยออกมาว่า “เอาตาย” หรือไม่
โดยเฉพาะที่ว่ามี “หลักฐาน” และ กำ “ความลับ” บางอย่างเอาไว้ในมือ เอาเข้าจริงมีหรือไม่?
ส่วน “ฝ่ายรัฐบาล” เมื่อทุกปลายกระบอกปืนพุ่งเป้ากระสุนไปที่ “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร คนเดียว ด้านหนึ่งเหมือน “รัฐมนตรี” หลายคนปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่ง คือตัวช่วยที่สำคัญ และสำคัญอย่างแน่นอนว่า สมควรอยู่ใน “ครม.” ต่อไปหรือไม่ด้วย หากมีการปรับครม.เกิดขึ้น
การเมือง ถ้าว่าโหดร้ายก็โหดร้าย เมื่อตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องประคับประคองเรือลำนี้ให้ผ่านมรสุมคลื่นลมแรงไปให้ได้ หรือ พูดอีกอย่างหนีไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน อย่าลืมเป็นอันขาด ว่าหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเห็นดีเห็นงามให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกฯ และอย่าลืมว่า เสียงโหวตในสภาฯอย่างท่วมท้น ผ่านเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ลงมติให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกฯ ทั้งที่ทุกคนรู้ดี “อุ๊งอิ๊ง” เป็นมาอย่างไร จึงไม่มีข้ออ้าง และปฏิเสธไม่ได้
ดังนั้นไม่แปลก ที่ด้านหนึ่งของการเตรียมพร้อมรับมือศึกซักฟอก “นายกฯอิ๊งค์” ของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็จะต้องมีการวาง “กลยุทธ์” ร่วมกัน ที่สำคัญคะแนนลงมติก็ต้องไม่แตกแถวด้วย เห็นได้ชัด กรณี “นายกฯอิ๊งค์” เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลนัดพิเศษ(21 มี.ค.68)
ด้านฝ่ายค้าน นอกจากความเคลื่อนไหว ให้เกียรติ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อภิปรายฯต่อ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ยังโหมกระแสหลักฐานเด็ด และ “ความลับ” ในมือ “บิ๊กป้อม” ตีปี๊บศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ให้น่าตื่นเต้นน่าติดตามด้วย
ถึงขั้นบางคนเชียร์ไม่ต้องพูดมาก แฉ “ความลับ” 10 นาที ก็พอแล้ว
ที่น่าสนใจในมุมมองของคนที่เกาะติดกระแสสถานการณ์การเมืองมาอย่างต่อเนื่อง มองศึกอภิปรายฯครั้งนี้ มีผลต่อทั้ง “นายกฯอิ๊ง-รัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะ“พรรคประชาชน” อย่างไม่ต้องสงสัย
เริ่มจาก แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการด้านกฎหมาย เขียนบทความในรูปถาม-ตอบเรื่อง “24 มีนา วันย่างสด นายกฯหุ่นฯ ???”
สาระสำคัญ อยู่ที่ประเด็นคำถาม
“...ที่อาจถูกไม่ไว้วางใจได้ คืออะไรครับ
ตอบ อภิปรายคุณสมบัติของรัฐมนตรีครับ คุณเธอโดนคนเดียวว่า เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่รู้จักรับผิดชอบให้สมกับตำแหน่ง ฟังเท่าที่พูดๆกัน ก็มีเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เรื่องโกงข้อสอบเอนทรานซ์ เรื่องหุ้นชินวัตร หรือไม่ยอมตอบกระทู้ฯ
ถาม เห็นฝ่ายค้านเขาคุยว่างานนี้ ส่วนนี้ เขามีหลักฐานแน่นเปรี๊ยะและเป็นเรื่องสำคัญเลยนะครับ
ตอบ เราก็ไม่รู้ว่าจริงไหม ถ้าได้เป็นรายงานผลการตรวจสอบข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว พร้อมหลักฐานแวดล้อมมัดแน่นไปยัง ลูกนายกฯที่เข้าสอบ มัดได้แน่นฟังแล้วไม่สงสัยเลย อย่างนี้ คุณเธอก็พังแน่
ถาม มาถึงตรงนี้ก็เหลือเรื่องเดียว คือเรื่องคุณเธอเป็น นายกฯหุ่น ถูกคนนอกระบบ คือบุคคลในครอบครัวครอบงำสั่งการ ใช่มั้ยครับ
ตอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องโครงสร้างอำนาจหน้าที่ในรัฐบาลมันไม่ถูกต้อง และขัดต่อรัฐธรรมนูญชัดเจน แม้ยังไม่เกิดการชี้ขาดเป็นคดีมีหลักฐานชัดแจ้งเป็นที่ยุติในศาล สภาก็มีอำนาจที่จะไม่ไว้วางใจได้ โดยไม่ต้องไต่สวนพยานอะไรกันเลยก็ทำได้ เพราะเป็นเรื่องความไว้วางใจ ไม่ใช่ชี้ขาดลงโทษติดคุกติดตะราง...”
นอกจากนี้ “แก้วสรร” ยังชี้ประเด็นอีกคำถาม
“ถ้ามีใครยืนขึ้นกล่าวหาได้ว่า การประชุมบ้านจันทร์ส่องหล้าหลังเศรษฐาพ้นตำแหน่ง แท้จริงคือการจัดตั้งรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ที่เรียกประชุมและเจรจาโดย “บุคคลในครอบครัว” คนนั้น กล่าวหาได้แค่นี้เท่านั้นพอไหมครับ
ตอบ พอครับ ถ้า ท่านบิ๊ก “ไม่รู้..ไม่รู้” พูดเป็นคนที่สอง แล้วยืนยันว่ารู้ เพราะติดต่อเจรจาอยู่ด้วย พูดสั้นๆ ใช้เวลาแค่ ๑๐ นาที ผมเชื่อว่าจบแน่นอน เชิญ สส.ที่เหลือเข้าแถวขึ้นเมรุ วางดอกไม้จันทน์ได้เลย”
อีกมุมมอง พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิเคราะห์เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ 4 ประการ
1.ปัจจุบันนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อนมากในเรื่องเศรษฐกิจที่แย่ลงเรื่อยๆในแต่ละวัน ทุกๆคนจึงอยากฟังคำชี้แจงของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจปากท้อง มากเป็นพิเศษ จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งถ้านายกฯตอบเรื่องนี้ได้ชัดเจน ก็กลับบ้านนอนได้เลย เรื่องอื่นๆไม่มีปัญหามากระทบแน่นอน
2.เรื่องที่อ้างกันว่านายกฯเป็นหุ่นเชิดนั้น ทางฝ่ายรัฐบาล จะมีหลักฐานชี้แจง โต้ตอบ ชัดเจน น่าเชื่อถือได้แค่ไหน ยังคงต้องคอยติดตาม เพราะประชาชนส่วนใหญ่ได้เชื่อไปแล้วว่าเป็นจริง ดังนั้นเรื่องนี้การชี้แจงข้อกล่าวหาจึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากมาก แต่ถ้าสามารถตอบในข้อที่ 1(เรื่องเศรษฐกิจ) ได้ดี เรื่องนี้ก็คงไม่มีปัญหามากนัก รอดทั้งครอบครัวเลยครับ
3.เรื่องบุคลิกของนายกฯ ที่พูดถึงกันมากจนเป็นจุดที่ทำให้ประชาชนสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก นายกฯน่าจะมีวิธีชี้แจงได้สบายๆ
4.เรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนยุติธรรม มีนับสิบเรื่อง จึงมีความสำคัญพอสมควรแต่ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายค้านจะหาข้อมูลมาได้มากแค่ไหนและคนที่มาอภิปราย มีคุณภาพหรือไม่ ถ้าฝ่ายค้านทำเล่นๆ พรรคประชาชนก็จบเหมือนกัน
ที่สำคัญ พล.ท.นันทเดช ชี้ว่า ฝ่ายค้านมีความได้เปรียบ 3:1 แม้รัฐบาลจะมีผลงานในบางด้าน เช่น การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบุหรี่ไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต้านข้อกล่าวหาที่ถูกนำเสนอในสภา โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเป็น “ดีลขายชาติ”
“การอภิปรายครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งนายกฯและฝ่ายค้านต้องทำการบ้านมาให้ดี เพื่อที่จะยืนหยัดอย่างสง่างามในสภา ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชน” เขากล่าว
ที่น่าวิเคราะห์ก็คือ คำถามและคำตอบ ที่ “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ต้องให้ความสำคัญอย่างสูงแทบละเลยไม่ได้เลย ก็คือ “ขาดภาวะผู้นำ” และวุฒิภาวะ ขาดความรู้และความสามารถในการบริหารประเทศ
เพราะถ้าดูญัตติฝ่ายค้าน เกมที่ต้องการต้อน “นายกฯอิ๊งค์” ให้จนตรอกก็คือ เรื่องนี้ และเป็นเรื่องที่ไม่มีใครตอบแทนได้
ยิ่งถ้า “นายกฯอิ๊งค์” ตอบการอภิปรายของฝ่ายค้าน แบบ “กว้างๆ” อย่างที่เปิดเผยในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย
“จะตอบในประเด็นกว้างๆ และให้รัฐมนตรีที่ดูแลในแต่ละกระทรวงเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด”
ยิ่งจะไปเข้าทางฝ่ายค้าน ที่เดินเกมดักเอาไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็น “จุดอ่อน” ชัดเจนขึ้น
แทนที่จะใช้วิกฤติเป็นโอกาสชี้แจงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ถึงการดำเนินนโยบายและการบริหารประเทศ
โดยเฉพาะญัตติกล่าวหา “ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีความรู้ และไม่เหมาะสมในการบริหารประเทศ” ถ้ามองมุมบวก เท่ากับฝ่ายค้าน ยื่นโอกาสงามมาให้ด้วยซ้ำ ที่ “นายกฯอิ๊งค์” ไม่ต้องหาเวทีที่ไหนโชว์วิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ ยิ่งถ้าพ่วงด้วยผลงานอย่างเป็นรูปธรรม ในเวลาอันสั้นที่ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย ยิ่งดี
เพราะฉะนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จุดชี้เป็นชี้ตายของความเชื่อมั่น และการเอาชนะใจประชาชน ของฝ่ายค้าน อาจอยู่ที่ฝีปากผู้อภิปรายเก่งกล้าแค่ไหน ย่อยข้อมูลได้เนียนหรือไม่ ข้อมูลหลักฐานน่าเชื่อถือมัดแน่นหรือไม่ ไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ ตามที่เป็นข่าว
ส่วนคำตอบของ “นายกฯอิ๊งค์” อยู่ที่เกมรุกตอบโต้แบบถึงลูกถึงคน มีเหตุผลแค่ไหน อิงด้วยผลงาน โชว์วิสัยทัศน์ให้เห็นถึงการเข้าใจปัญหา แนวทางแก้ปัญหา และการพัฒนาประเทศ
ไม่ใช่หนีข้อกล่าวหา โยนให้ “รัฐมนตรี” ตอบแทนทั้งหมด เพราะดูเหมือนว่า ถ้าเอาชนะข้อกล่าวหา “ขาดภาวะผู้นำ” คำนี้คำเดียว การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จบ!
แต่ถ้าหนีข้อกล่าวหาเมื่อไหร่ ตอบคำถามแบบคลุมเครือ ไม่ชัดเจน แถมให้รัฐมนตรีตอบแทน มีองครักษ์มากมายคอยยกมือประท้วงการอภิปรายของฝ่ายค้าน ชัยชนะที่ได้มาจากคะแนนโหวต จะเป็นได้แค่ปริมาณเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ต้องระวังให้ดี