เปิดประตูสู่ชีวิตที่สอง
ประสบการณ์และความรู้ที่เคยมีไม่สำคัญเท่าทัศนคติที่ต้องการก้าวไปข้างหน้า
หากเราศึกษาชีวประวัติของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตจะพบว่าส่วนใหญ่จะมีจุดพลิกผันอยู่ไม่น้อย เช่นพลิกจากพนักงานบริษัทธรรมดาๆ มาเป็นเจ้าของกิจการโดยไม่ทันตั้งตัว หรือพลิกจากนิสิตนักศึกษามาก่อตั้งธุรกิจเพราะมีโอกาสเข้ามาพอดี
จุดพลิกผันเหล่านั้นจะว่าไปแล้วก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่สองในรูปแบบหนึ่ง หลังจากที่เราใช้ชีวิตแรกไปกับการเรียน และเริ่มต้นทำงานตามสาขาวิชาชีพที่เรียนมา เมื่อถึงจุดอิ่มตัวเราก็สามารถสร้างชีวิตที่สองขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องยึดติดกับอดีต
นั่นแปลว่า เราเรียนจบมาในสาขาวิชาไหน หรือเคยมีประสบการณ์ในด้านสายงานใด ก็ไม่ได้เป็นกรอบที่จำกัดให้เราต้องดำเนินชีวิตไปตามแนวทางนั้น ๆ เพราะโลกทุกวันนี้มีความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา จนมีอาชีพเกิดใหม่มากมายมหาศาล การเปิดกว้างให้กับโอกาสในอนาคตจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
หลายคนในวัย 40-50 ปีที่อาจอิ่มตัวกับหน้าที่การงานของตัวเองจึงเริ่มคิดที่จะเกษียณก่อนกำหนดหรือ Early Retire ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะการลาออกจากงานแล้วไปใช้ชีวิตสบายๆ นั้นอาจไม่ดีอย่างที่คิดเพราะเราอาจขาดโอกาสได้ใช้พลังความคิดและประสบการณ์ที่มีสร้างคุณค่าให้กับสังคมและคนรอบข้างได้
การแสวงหาชีวิตที่สองจึงอาจเป็นทางออกที่ดีกว่า โดยการเริ่มต้นใหม่ในอีกบริบทหนึ่งของชีวิต จากที่เคยทำงานเดิมๆ มาตลอดเราอาจพบว่ามีทางเลือกอื่นที่เหมาะกับตัวเรามากกว่า แม้ว่าจะไม่ตรงกับสาขาวิชาชีพที่เคยเรียนมาก็ตาม
เพราะตัวตนของเรานั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัยและประสบการณ์ที่บ่มเพาะมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เคยคิดว่าชอบงานด้านวิศวกรรมและทำหน้าที่เป็นวิศวกรมาตลอดชีวิตก็อาจค้นพบว่าตัวเองมีอีกด้านหนึ่งที่ชอบงานด้านศิลปะและหันมาทำงานในด้านนี้ได้ดีเช่นกัน
เช่นเดียวกับคนที่ร่ำเรียนในด้านสถาปัตยกรรมแต่ก็พบว่าโลกดิจิทัลนั้นมีสิ่งใหม่ๆ ให้เรียนรู้ได้ตลอดเวลา มีความท้าทายเกิดขึ้นอยู่เสมอจึงหันมาทำงานในด้านนี้ และพบว่ามีโอกาสเติบโตได้เหมือนกันเพราะไม่มีใครกำหนดกติกาเอาไว้ว่าต้องเป็นคนที่เรียนมาในสาขาวิชาเฉพาะเท่านั้น ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้
ประสบการณ์และความรู้ที่เคยมีจึงไม่สำคัญเท่าทัศนคติที่ต้องการ “ก้าวไปข้างหน้า” และคิดบวกเพื่อรับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ เพราะต้องรับมือกับสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือการเอาชนะข้อจำกัดของตัวเอง และความพยายามที่จะต้องสร้างเส้นทางชีวิตของตัวเองใหม่
แต่ที่จะได้ตอบแทนกลับมาก็คือ ความภาคภูมิใจที่ได้กล้าออกจากกรอบความคิดเดิมๆ และแสวงหาเส้นทางสู่ความสำเร็จใหม่อีกครั้ง เป็นเหมือนรางวัลชีวิตที่ไม่คิดว่าจะได้รับอีกเพราะเคยคิดว่าตัวเองมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่หารู้ใหม่ว่ายังมีชีวิตที่สองและชีวิตที่สามรอเราอยู่
แม้ว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของเราจะเพิ่มขึ้นจนเกือบถึง 80 ปีแต่แท้จริงแล้วเราจะพบว่าเวลาผ่านไปเร็วมากขึ้นด้วยอัตราเร่งของโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมรอบข้างเราได้อย่างมหาศาล การมาถึงของเทคโนโลยีเอไอจะก่อให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ อีกมหาศาล
หากเราเฝ้ามองแต่การเปลี่ยนแปลงโดยไม่คิดลงมือทำอะไร เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างวิ่งผ่านหน้าเราไป จนถึงวันหนึ่งเรามองย้อนกลับมาก็ได้แต่คิดเสียดายว่าทำไมไม่ทำแบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนั้น ซึ่งนอกจากเป็นการปล่อยโอกาสผ่านไปแล้วยังเป็นการลดคุณค่าของตัวเราเองที่เกิดจากการไม่ทำอะไรเลย
การเริ่มชีวิตที่สองจึงอาจเป็นทางออก และการเริ่มลงมือทำสิ่งใหม่ในชีวิตตั้งแต่วันนี้จึงเหมือนเปิดการเปิดประตูสู่ความสำเร็จอีกบานหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จอื่นๆ อีกมากมายในอนาคตหากเราเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ