สมดุลความสุข
การสร้างสมดุลให้กับชีวิตจึงเป็นทางออกสำคัญของคนทีกำลังรู้สึกสับสนกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต
ในฐานะคนที่ผ่านยุคอนาล็อกมาก่อน ทำให้ผมมองเห็นชีวิตในอดีตที่ผม และเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านมักรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกันอยู่เสมอ แม้ยุคนั้นจะไม่มีเกมออนไลน์ ไม่มีสมาร์ตโฟน ไม่มีอินเทอร์เน็ต ฯลฯ แต่เด็กในยุคนั้นก็ไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปและใช้ชีวิตได้อย่างสนุกคุ้มค่าทุกวินาที
ตรงกันข้ามกับเด็กรุ่นใหม่ในทุกวันนี้ที่เติบโตมาด้วยความพร้อมในทุกๆ มิติไม่ว่าพ่อแม่ที่ขยับฐานะมาเป็นชนชั้นกลางมีรายได้สูงกว่าในอดีตหลายเท่า และยังมีเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มพิกัด แต่เรากลับเห็นเด็กยุคนี้ดูไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้คุ้นชินกับความสุขที่ได้จากการซื้อหาสิ่งของต่าง ๆ เพราะเขาเติบโตมากับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กระตุ้นให้คนมีความสุข กับการซื้อหาสินค้าและบริการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จนทำให้มองไม่เห็นว่ารอบตัวเขามีสิ่งมีค่าอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อแต่ก็สร้างความสุขให้ได้ไม่แพ้กันเลย
ด้วยวัฒนธรรม “บริโภคนิยม” ที่ดำเนินมาหลายทศวรรษทำให้ครอบครัวรุ่นใหม่ซื้อสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ มากเกินความจำเป็น จนถึงขนาดที่เราอาจจะพบว่าภายในบ้านเรานั้นมีของที่จำเป็นต้องใช้เป็นประจำเพียง 25% เท่านั้น
ความอยากมีอยากได้ที่เกิดขึ้น มักไม่ได้มาจากความต้องการของเราจริง ๆ แต่อาจเป็นการเปรียบเทียบกับผู้อื่น เช่นเห็นเพื่อนฝูงมีบ้านหลังใหญ่ เราก็อยากมีบ้างทั้งที่ในความเป็นจริงมีสมาชิกในครอบครัวไม่กี่คน ไม่จำเป็นต้องอาศัยในบ้านหลังใหญ่ก็ได้
ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่อยากได้แบรนด์หรูดูดี ให้ทัดเทียมเพื่อนฝูง รวมไปถึงกระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ ซึ่งความอยากได้อยากมีเหล่านี้เองที่ทำให้คนรุ่นใหม่หลงไปกับกระแสบริโภคนิยมจนไม่ได้มองว่าธรรมชาติรอบตัวเราก็อาจให้ความสุขกับตัวเราได้ไม่แพ้วัตถุ
นักปรัชญาชาวเยอรมัน Friedrich Nietzsche ก็เคยชี้ให้เห็นถึงความพยายามแสวงหาความสุข ในรูปแบบดังกล่าวว่าเทียบไม่ได้เลยกับความพยายามในการค้นหาความหมายของการมีชิวิตอยู่ เพราะถ้าเราเข้าใจว่าชีวิตของเรานั้นจะอยู่ไปเพื่ออะไรเราก็อาจแสวงหาความสุขได้จากทุกที่เลยก็เป็นไปได้
ลองคิดดูถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ อาจเติมเต็มให้เรามีความสุขมากขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกปรอยๆ ลมพัดเย็นสบาย ฯลฯ บางคนอาจมีความสุขเมื่อออกมาชมสวนสวยๆ ที่ดูแล้วผ่อนคลาย
เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่น ที่แม้ว่าราคาบ้านและที่ดินจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้บ้านหรือคอนโดมิเนียม แต่ละหลังมีขนาดเล็กมาก แต่ชาวญี่ปุ่นก็ยังพยายามใช้เนื้อที่เหล่านี้ให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการจัดสวนจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน
ในขณะที่บ้านเรา จะเห็นว่าการขยายต่อเติมบ้านส่วนใหญ่แล้วจะเน้นการได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่ม ไม่ค่อยมีใครคิดจะต่อเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่สวนมากนัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วสวนในบ้านจะช่วยทำให้เรา ได้สัมผัสธรรมชาติมากขึ้น เป็นวิธีสร้างความสุขแบบง่าย ๆ ที่ได้ผล
ความสุขคนยุคนี้ จึงไม่สมดุลกันเท่าที่ควร ระหว่างความสุขทางวัตถุ กับความสุขที่เกิดจากการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งกรณีหลังจะเน้นที่มุมมองในชีวิตทำให้เรามีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เราเห็นคนบางคนที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรแต่กลับมีมีความสุขเพราะเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนอะไรในชีวิต ตรงกันข้ามกับคนฐานะดีแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองขาดสิ่งโน้นสิ่งนี้มากมายเต็มไปหมดโดยไม่เคยรู้สึกว่าได้เติมเต็มให้กับชีวิตตัวเองเลย
ที่แย่ที่สุด คือ คนจนที่เอาแต่เปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนที่มั่งมีและอยากได้อยากมีสิ่งต่างๆ ตามเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีแต่ความอยากได้ไม่สิ้นสุด และอาจจบลงที่ความล้มเหลวเพราะมักหาทางลัด ในการสร้างรายได้ซึ่งมักจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องนัก
การสร้างสมดุลให้กับชีวิตจึงเป็นทางออกสำคัญของคนทีกำลังรู้สึกสับสนกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ถึงพร้อมทุกอย่างแต่กลับไม่พึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ซึ่งต้องมองให้ทะลุไปถึงแก่นแท้ของตัวเองแล้วจะพบว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในจิตใจของเรานั่นเอง