ท้าทายแรงกดดัน
ปี 2567 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่เต็มไปด้วยความผันผวนสร้างความกดดันให้กับผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ ไปจนถึงคนทำงานมากมายจนผมเชื่อว่าน่าจะเป็นปีที่มีดัชนีความเครียดจากความกดดันสูงมากเมื่อเทียบกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา
เพราะข้อมูลข่าวสารที่เราได้รับในแต่ละวันจากทุกสื่อไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์นั้นมีแต่ข่าวเชิงลบถาโถมเข้าใส่เราตลอดเวลา โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่พยายามคาดเดาพฤติกรรมการเสพสื่อของเราและนำเสนอแต่ข่าวที่มีเนื้อหาในทางเดียวกันให้เรารับรู้จนเราแทบจะไม่รู้เลยว่าโลกในความเป็นจริงนั้นต่างจากโลกในโซเชียลมีเดียมากน้อยเพียงใด
เมื่อมีข้อมูลมากเกินไป และข้อมูลที่มีนั้นอาจถูกบิดเบือนจากกลไกของเอไอ ทำให้เราตัดสินใจไม่ถูก เพราะไม่มีทางรู้ว่าอะไรเป็นจริง อะไรเป็นเท็จ ก่อให้เกิดเป็นความกดดันเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ซึ่งจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่สามารถแยกแยะและสะกัดความจริงออกมาให้มากที่สุด
การฝึกฝนตัวเองให้แยกแยะข้อเท็จจริงและมีสมาธิมากพอที่จะจัดการงานที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ถูกความเครียดกดทับจนทำให้ตัดสินใจได้แย่ลงจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งซึ่งมีแนวทางเบื้องต้นอยู่ 5 ข้อใหญ่ๆ
ข้อแรกคือ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและรับรู้อารมณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองพาให้เราร้อนรนไปกับสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องตัวเรา นั่นคือต้องหนักแน่นมั่นคงและคิดถึงข้อเท็จจริงเป็นหลัก
แต่เมื่อต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เราต้องรับผิดชอบและกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจนทุกคนต่างมีอารมณ์ร้อนแรง เราต้องรู้จักบริหารตัวเองเย็นลงและหาทางให้อุณหภูมิของทุกคนลดลงจนถึงจุดที่สามารถตัดสินใจร่วมกันได้ ซึ่งนั่นจะเป็นหนทางที่เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้
ข้อสอง มองปัญหาให้เป็นความท้าทาย เพราะการทำงานใดๆ โดยไม่เจอปัญหาเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ปัญหาก็ไม่เรื่องน่าอภิรมย์นักเราจึงต้องรู้จักแยกแยะปัญหาเหล่านั้นออกเป็นส่วนๆ เพื่อมองให้เห็นว่าอะไรควรทำก่อนทำหลัง อะไรเป็นเรื่องเล็กอะไรเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อมองปัญหาได้ทะลุปรุโปร่งแล้วเราก็จะรู้ว่าจะจัดการกับมันได้อย่างไร และมองเห็นว่าจัดการปัญหาใหญ่ๆ ก่อนได้ที่เหลือก็จะง่ายขึ้นมาก เมื่อเริ่มลงมือแก้แล้วทุกอย่างก็จะดูราบรื่นขึ้นและทำให้เรามีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นพร้อมรับความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต
แต่การจะจัดการปัญหาได้ง่ายแบบนั้นในโลกความเป็นจริงอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยจำเป็นต้องมีแนวคิดเชิงบวกเป็นพื้นฐาน เพราะคนที่เจออุปสรรคและความล้มเหลวตรงหน้าจะมีไม่กี่คนที่ล้มแล้วลุกได้สำเร็จ
คนที่สำเร็จได้จึงต้องเป็นคนที่เปลี่ยนปัญหาและอุปสรรคให้เป็นความรู้ของตัวเองและปรับตัวเข้ากับความรู้ใหม่ ๆ นั้นได้ทันท่วงที เพราะความล้มเหลวและความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้เสมอ
ยังคงเหลืออีก 3 ข้อที่มีความสำคัญและจำเป็นไม่แพ้กันซึ่งต้องติดตามต่อในสัปดาห์หน้า
ก้าวมาถึงช่วงสุดท้ายของปีขอให้ผู้อ่านทุกท่านก้าวผ่านปีที่ผันผวนและเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงมากมายไปได้อย่างราบรื่น และเปิดรับโอกาสใหม่ในปี 2568 ที่กำลังมาถึงนี้ด้วยความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยม
สวัสดีปีใหม่ครับ...