ตอน :: ข้อคิด.....ถึงผู้บริหารและเจ้าของกิจการ
อย่าให้ "โควิด-19" ทำให้ทุกท่านกลายพันธ์จนกลายเป็นกลัว ไม่คิดไม่กล้าจะทำอะไร โดยเฉพาะการพัฒนาทีมงานเพื่อสร้างรายได้ที่ถดถอยน้อยลงหายไปตลอดสองปีที่ผ่านมา
Part 1. ข้อห้าม!
กรุณาอย่าเสียเวลาอ่านต่อ ถ้า...
1.1.ทีมงาน “ทุกหน่วยงานและทุกคน” ของท่าน มีความสามารถสูงทุกคน และทุกคนสมบูรณ์แบบ ไม่สามารถที่จะเก่งไปกว่านี้อีกแล้ว!
1.2.ท่านไม่เคยพบปัญหา เรื่องคน ในทุกหน่วยงานของท่านเลย!
1.3.ท่านคิดว่าสถานการณ์เรื่องโควิดยังไม่นิ่ง ยังกลัว ยังเสพข้อมูลโควิดจนหลอน! ต้องรอให้โควิดสูญพันธ์ไปจากโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ไปก่อน แล้วค่อยมาคิดเรื่องการสร้างการพัฒนาคน อันนี้ไม่ได้ประชด เพราะถ้ามี Mind Set แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอ่านต่อ แต่ท่านใดที่คิดว่า New Normal ที่พูดกันเยอะในสองปีที่ผ่านมา... ชักจะไม่ New Normal กันเท่าไหร่ในวันนี้ เริ่มจะกลับมา Normalกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ลองอ่านกันดูครับ!
Part 2. ข้อที่น่าสังเกตเกี่ยวกับโควิด กับ ธุรกิจในวันนี้
หลายธุรกิจ นิ่งหรือแทบไม่ได้ทำอะไร เน้นการประคองตัวให้อยู่รอดตลอดสองปีที่ผ่านมา ในขณะที่บางบริษัท.. เปลี่ยนวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสในการ เพิ่มช่องทางขายใหม่ สรรค์สร้างสินค้าบริการใหม่ๆ และเพิ่ม ความสามารถใหม่ๆ ให้กับทีมงาน ไม่ว่าทีมงานจะอยู่ที่ทำงานหรือทำงานที่บ้านผ่านจอ และหลายบริษัทขณะนี้กำลังเร่งพัฒนาทีมงานอย่างเร่งด่วน ผสมผสานทั้งทาง Online และ Onsite จัดฝึกในสถานที่แบบเดิม เพิ่มเติมแค่ใส่หน้ากากเพื่อความสบายใจ
เพราะในทุกวันนี้ใครๆก็รู้กันแล้วว่า ถ้าติดโควิดในปัจจุบัน กินยารักษาตัวไม่กี่วันก็หาย (มีแค่ผู้สูงอายุกับผู้มีโรคประจำตัวหลายอย่างที่ต้องระวังเท่านั้น) ไม่ได้แตกตื่นตกใจไปตามพวกเพจ และสื่อขาใหญ่ของทีวีบางคนที่ชอบคุยข่าวผสมดราม่า ที่ขู่เรื่องโควิดได้ทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขู่ไปเพื่ออะไร คงเจียะป้า บ่อสื่อ(แปลว่า กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ!)
หลายๆประเทศในโลกนี้ปรับตัวอยู่กับโควิด ใช้ชีวิตทำมาหากินกันเกือบจะปกติแล้ว แต่ประเทศไทยของเรายังมีหมอหิวแสงบางท่าน ที่เป็นรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้อยู่ในคณะทำงานของรัฐบาลเลย จะบอกว่าเจตนาดีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมักจะออกมาให้ข้อมูลเชิงลบแง่ร้าย ที่เป็นข้อมูลแบบคาดเดาและเดาผิดเป็นประจำ แต่ชอบให้ข่าวร้ายๆขู่ให้กลัวได้แทบทุกวัน ซึ่งจะต่างกว่าคุณหมอท่านอื่นๆ หลายท่านที่น่าเคารพ ที่ให้ข้อมูลข้อเท็จจริง และคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมอย่างน่าชื่นชม
รัฐบาลเองก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการมาเป็นระยะ และทุกจังหวัดในประเทศไทยจะประกาศให้ไม่มีจังหวัดใดอยู่ในโซนสีแดงกับสีส้มอีกแล้ว เพราะรู้ว่าถ้าไม่ผ่อนคลาย คงอดตายกันอีกครึ่งค่อนประเทศแน่ ยังไงก็ต้องอยู่ร่วมกับโควิดได้ ก่อนที่เศรษฐกิจจะทรุดหนักและธุรกิจจะเสียโอกาสไปทุกวันแบบไม่จบ
ก็ได้แต่หวังว่าทุกท่าน เสพข้อมูลเรื่องโควิดอย่างมีสตินะครับ ระมัดระวังได้อย่าไปกลัวเกินเหตุแล้วธุรกิจของแต่ละท่าน... จะระมัดระวังกันสุดชีวิตต่อไปมันจะใช่ทางออกหรือเปล่า?
Part 3. ข้อชวนคิด
ถ้าจะใช้เวลาช่วงนี้ในการพัฒนาทีมงาน จะพัฒนาทุกหน่วยงาน หรือบางหน่วยงานที่เร่งด่วนก่อน? ถ้าจะพัฒนา จะเป็นรูปแบบใด ระหว่าง เรียนรู้ทาง Online อย่างเดียว (ที่อาจไม่ค่อยได้ผล) หรือผสมผสานการเรียนรู้แบบ Onsite คือเรียนรู้แบบเดิมในห้องฝึกอบรมควบคู่กันไป
หรือถ้าคิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก็เรียนรู้แบบเดิมไปเลย เว้นระยะห่างที่นั่ง ใส่หน้ากาก จะได้บรรยากาศการเรียนรู้ที่มีชีวิตชีวาและได้ผลแบบที่เคยทำกันมา อย่างที่หลายธุรกิจกลับมาเรียนรู้แบบนี้กันแล้ว
Part 4. ข้อเสนอแนะ
เพื่อสร้างความสบายใจและความมั่นใจให้เกิดกับตัวท่าน ให้เริ่มแบบ ทดลอง บางหน่วยงานหรือบางส่วนของธุรกิจให้ทำงานตามปกติ (แต่สวมใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ไม่รวมกลุ่มใกล้ชิด) และถ้าบังเอิญมีพนักงานติด ก็ให้รักษาตัวที่บ้านทานยาพักผ่อน (ในปัจจุบัน 3-5 วันก็จะหายเป็นปกติ)
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะนี้ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละท่าน ที่จะนำไปคิดต่อไปปรับใช้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่บทเรียนจากวิกฤติโควิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พอจะสรุปคร่าวๆได้ว่า ช่วงแรกของการระบาด ทั่วโลกยังไม่มีใครรู้จักโควิดสายพันธ์นี้ เพราะเป็นเรื่องใหม่ และปีแรกของการระบาด ยังอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
แต่ในปัจจุบัน ทั่วโลกต่างทำความรู้จักโควิดมากยิ่งขึ้น และการกลายพันธ์ค่อยๆกลายเป็นโรคประจำถิ่นของแต่ละที่ไปแล้ว ถึงแม้ในไทยจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตวันละ 100 กว่ารายในปัจจุบันแต่ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงแทบทั้งสิ้น
ข้อเท็จจริงก็คือ ก่อนมีโควิด จำนวนผู้สูงอายุที่ปอดติดเชื้อเสียชีวิตทุกๆวันจำนวนไม่น้อยอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีการรวบรวมข้อมูลรายงานเป็นรายวันเท่านั่น!
ปัจจุบันในไทย เชื้อไวรัสโควิดกลายพันธ์จนเป็นโรคประจำถิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังมีบางสื่อบางหมอบางคน เหมือนไม่อยากให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่นซะงั้น ทำเพื่อ!?
อย่าให้โควิดทำให้ทุกท่านกลายพันธ์จนกลายเป็นกลัว ไม่คิดไม่กล้าจะทำอะไร โดยเฉพาะการพัฒนาทีมงานเพื่อสร้างรายได้ที่ถดถอยน้อยลงหายไปตลอดสองปีที่ผ่านมาเลยครับ!