ส่อง 5 ธุรกิจ “เฮลท์แคร์-จีโนมิกส์” แรงดีไม่มีตก หนุนพอร์ตโตแกร่ง
ในเวลานี้ โอกาสลงทุนหุ้นที่น่าสนใจสามารถถือระยะยาวได้เมกะเทรนด์ที่น่าสนใจลงทุนตอบโจทย์ และที่ใกล้ตัวคนทั้งโลกก็ต้องยกให้กับเมกะเทรนด์ที่ยังแรงดีไม่มีตก นั่นก็คือ “Healthcare & Genomics”
เนื่องจากทั่วโลกกำลังเข้าสู่กระแสสังคมสูงวัยในหลายๆ ประเทศกันมากขึ้น รวมทั้งวิถีชีวิตคนในเมืองใหญ่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่โลกตกอยู่ในวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากว่า 2 ปีแล้ว จนถึงปัจจุบันที่ยังยืดเยื้อ ทำให้คนทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพยิ่งขึ้นกว่าอดีต
"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ มั่นใจว่า ภาพในระยะยาว ธุรกิจบริการสุขภาพหรือ เฮลท์แคร์มีบทบาทสำคัญมาก ด้วยคอนเช็ปต์ ‘เกิด(ง่าย) แก่(ยาก) เจ็บ(น้อย) ตาย(ช้า)’ สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ก้าวล้ำหน้ามาก
5 ธุรกิจเฮลท์แคร์ แรงดีไม่มีตก ถือติดพอร์ต
1.ธุรกิจ Pharmaceutical (บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยา : ยาที่จดสิทธิบัตร และยาสามัญที่หมดสิทธิบัตรแล้ว)
2.กลุ่มธุรกิจ Biotechnology (เทคโนโลยีชีวภาพ) มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีตัดต่อพันธุกรรม (Genomics)
3. กลุ่มธุรกิจ Healthcare Equipment & Supplies (ผลิตเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ )
4. กลุ่มธุรกิจ Healthcare Provider (โรงพยาบาลเอกชน)
5.บริการ Healthcare Insurance (ประกันสุขภาพ)
ส่องตลาดผู้ใช้บริการ"เฮลท์แคร์"มีศักยภาพเติบโต ปัจจุบัน เจ้าตลาดอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ของโลก ยังคงเป็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาตามด้วยจีน ยักษ์ใหญ่จากเอเชีย ที่ช่วงหลายปีนี้มีการเติบโตด้านบริการสุขภาพรวดเร็ว ทั้งด้วยแรงส่งจากจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคนและจีนมี กำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่งผลให้ธุรกิจผลิตยาปฏิชีวนะของจีน กินส่วนแบ่งในตลาดยาปฏิชีวนะของสหรัฐฯ ได้ถึง 97% และตลาดวิตามินซีของสหรัฐฯ ได้อีก 90% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตขึ้นของอุตสาหกรรม
และหากรวมกับตลาดผู้บริโภคที่ยังมีอีกหลายประเทศจำนวนมากทั่วโลก โดยค่าใช้จ่ายของผู้คนที่สามารถเข้าถึง การบริการสุขภาพ สำหรับ 8 ประเทศแรกของโลก อยู่ที่เฉลี่ย 5,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวเพราะคนเราไม่มีใคร หนีโรคภัยไข้เจ็บได้ตลอด
เพราะฉะนั้นไม่ว่ายาและการรักษาโรค การใช้บริการดูแลสุขภาพ ยังคงเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์ที่ ขาดไม่ได้ จึงยิ่งตอกย้ำภาพเมกะเทรนด์ "เฮลท์แคร์’"ที่แรงดีไม่มีตก และยังมีนัยสำคัญต่อผู้ลงทุนควรถือติดพอร์ตไว้
แต่ต้องยอมรับว่า การเลือกลงทุนหุ้นในเมกะเทรนด์ ‘เฮลท์แคร์’ ไม่ง่าย เพราะส่วนใหญ่เป็นศัพท์เฉพาะในทางการแพทย์ ซึ่งแม้ว่าชีวิตคนเราทุกคนจะมีการใช้ยาและการรักษาต่างๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ไปถึงบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย หรือส่วนผสมต่างๆทุกสิ่งไป จึงทำให้นักลงทุนไทยส่วนใหญ่มองข้ามการลงทุนในรายตัวบริษัท
สำหรับแนวโน้ม สัญญาณลงทุนเมกะเทรนด์บริการสุขภาพ-จีโนมิกส์
นายตราวุทธิ์ แนะนำว่า ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในเมกะเทรนด์เฮลท์แคร์ ได้ง่ายๆผ่าน กองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่น่าสนใจ ที่สำคัญยังช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุนหุ้นต่างๆ ทั้งกลุ่มด้วย และยังสามารถสร้างผลตอบแทนอ้างอิงไปกับดัชนีตลาดด้วย
โดย ETF เมกะเทรนด์เฮลท์แคร์ที่น่าสนใจลงทุน ดังนี้
iShare Global Healthcare ETF (IXJ) มูลค่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปลายปีที่แล้วที่มูลค่ายังอยู่ที่ 2,600 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น
โดยผลตอบแทนจะอ้างอิงดัชนี S&P Global 1200 Health Care Index เป็นตัวแทนของ 108 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในธุรกิจเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ จีโนมิกส์ และเครื่องมือการแพทย์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก
ล่าสุด (19 เม.ย.) ผลตอบแทน IXJ ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 3.53% หากดู 1 ปี อยู่ที่ 11.17% และ 3 ปี สูงถึง 59.44%
เปิดพอร์ตเข้าไปดูหุ้นที่ลงทุน 5 อันดับแรกสูงสุดมีสัดส่วนรวมกันกว่า 20% ได้แก่
- บริษัท UnitedHealth Group Incorporated -บริษัท Johnson&Johnson ที่ผลิตวัคซีนโควิด-19 เช่นกัน -บริษัท Roche Holding AG -บริษัทPfizer Inc. -บริษัท Abbott Laborbpatories
ส่วนที่เหลือลงทุนกระจายในหุ้นอีกราว 100 ตัว เพื่อให้ผลตอบแทนเกาะดัชนีที่อ้างอิง
มาดู ETF ธีมบริการสุขภาพจีน KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (KURE) มีมูลค่า 132.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้การบริหารของ KraneShares บริษัทจัดการลงทุนสัญชาติอเมริกัน โฟกัสลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์ สัญชาติจีน
ผลตอบแทนอ้างอิงดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index ที่เป็นตัวแทน 120 บริษัททั้งบริษัทขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง รวมไปถึงบริษัทจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน -18.93% และ 1 ปี อยู่ที่ -34.33% ส่วน 3 ปี ผลตอบแทน +10.97% หุ้นในพอร์ต5 อันดับแรก ได้แก่
-WuXi Biologics (Coyman) Inc. -Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics Co., Ltd. -WuXi App Tec Co.,Ltd. -Jiangsu Henguri Medicine Co.,Ltd. -CSPC Pharmaceutical Group Limited
สำหรับกอง ETF ธีมจีโนมิกส์ คือ iShares Genomics Immunolgy and Healthcare ETF มีมูลค่ากองทุนอยู่ที่ 257.8 ล้านดอลลาร์ (ณ 19 เม.ย. 2565)
ผลตอบแทนอ้างอิง 2 ดัชนี คือ NYSE Factset Global Genomics และ Immuno Biopharm Index เน้นลงทุนประมาณ 50 บริษัททั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯและจีน เช่น BioNTech Moderma และ Merck ที่มีชื่อเสียงนวัตกรรมด้านจีโนมิกส์ ภูมิคุ้มกันวิทยา และพันธุวิศวกรรม เป็นศาสตร์ยุคใหม่ที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรม สุขภาพและเปลี่ยนเศรษฐกิจโลกในอนาคต
ด้านผลตอบแทนของ ETF นี้ ช่วง 3 เดือนย้อนหลัง - 9.41% และ 6 เดือน -32.05% ส่วน 1 ปี - 28.35%
หุ้นที่ถือติดอันดับต้นๆ ได้แก่ - Exelixis, Inc. -Sanofi ,Regeneron Pharmaceutical Co.,Ltd. -Takeda Pharmaceutical Co.,Ltd.
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ผลตอบแทนที่ติดลบ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก เผชิญกับความผันผวน จากสารพัดข่าวร้ายที่รุมล้อม ส่งผลให้ดัชนีโดยรวมปรับตัวลดลง
หากดูตลาดหุ้นหลักๆ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี S&P 500 ลดลงถึง 4.60% ขณะที่รอบ1 ปี ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.05% ตลาดหุ้นจีน ช่วงไตรมาสแรก -14.53% ส่วนช่วง 1 ปี -16.36% มีสัญญาณติดลบน้อยลง
แนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เป็นโอกาสในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีราคาถูกลง
ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ในช่วงไตรมาสแรก -5.66% และรอบ 1 ปี -20.43%
แม้ว่าภาพรวมตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง และกระทบต่อหุ้นคุณภาพ ธุรกิจที่ดีมีอนาคตเติบโต แต่มองอีกมุมการลงทุนในระยะยาว ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุนในราคาที่ถูก มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงแล้ว
หากว่าคุณยังมีความเชื่อมั่นว่า 'ตลาดบริการสุขภาพ' เป็นสิ่งที่จำเป็นของมนุษย์ที่แยกขาดจากกันไม่ได้ และ'จีโนมิกส์'เป็นส่วนที่เข้ามาช่วยทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น
เวลานี้ถือเป็นโอกาสการที่จะจัดน้ำหนักพอร์ตลงทุน ในเมกะเทรนด์เฮลท์แคร์และจีโนมิกส์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตเติบโตไปในระยะยาว